เมื่อวันที่ 8 พ.ย. สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา จัดการเลือกตั้งใหญ่ทั่วประเทศ ท่ามกลางการคาดคะเนว่าพรรครัฐบาลสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (NLD) ของนางอองซาน ซูจี ผู้นำโดยพฤตินัยของเมียนมา จะได้รับชัยชนะอย่างชัดเจน บริหารประเทศต่อเป็นสมัยที่ 2 เนื่องจากฝ่ายค้านไม่มีตัวแทนที่โดดเด่น ขณะที่ผลสำรวจความนิยมทั่วประเทศยังระบุว่าประชาชน กว่า 79 เปอร์เซ็นต์ เชื่อมั่นในนางซูจี
ทั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าการเลือกตั้งใหญ่ของเมียนมาครั้งนี้ มีผู้ลงทะเบียนใช้สิทธิ เลือกตั้งจำนวน 37 ล้านคน แต่เชื่อว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิไม่ครบจำนวน เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้มีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือน ส.ค. รวมกว่า 60,000 คน เสียชีวิตกว่า 1,390 คน
ผู้สื่อข่าวสอบถามผู้มาใช้สิทธิลงคะแนนเลือกตั้งในนครย่างกุ้ง และพบว่าคนจำนวนมากตัดสินใจเลือกนางซูจีและพรรคเอ็นแอลดี โดยมองว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง พูดความจริง ส่วนผู้ใช้สิทธิสูงอายุมองว่า ประเทศอยู่ภายใต้การปกครองโดยเผด็จการทหารมากว่า 5 ทศวรรษ จนมาได้รัฐบาลที่ดีที่สุดเมื่อ 5 ปีก่อน การเลือกนางซูจีถือเป็นทางเลือกเดียว และยังจำความได้ว่าแต่ก่อนไม่มีเสรีภาพ ไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์อะไรได้
ขณะที่นางซูจีได้กล่าวหาเสียงช่วงโค้งสุดท้าย ให้คำมั่นว่าจะส่งเสริมประชาธิปไตยให้เข้มแข็ง สิ่งสำคัญคือการแก้ไขปัญหาด้วยแนวทางสันติ โดยอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ส่วน พล.อ.มิน อ่อง ลาย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดกองทัพเมียนมา เคยระบุไม่รับปากว่าจะรับรองผลการเลือกตั้ง พร้อมวิจารณ์ว่ากระบวนการเลือกตั้งล่วงหน้ามีการละเมิดกฎหมายเป็นวงกว้าง แต่ล่าสุดเจ้าตัวให้สัมภาษณ์หลังลงคะแนน เสียงแล้วว่า ผมต้องยอมรับผลการเลือกตั้งที่มาจาก ความต้องการของประชาชน
...
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งของเมียนมาครั้งนี้ถูกโจมตีอย่างหนักจากกลุ่มสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะฮิวแมน ไรต์ วอตช์ของสหรัฐฯ ที่มองว่าไม่ครอบคลุม ชาวโรฮีนจาถูกตัดสิทธิกว่า 1.5 ล้านคน ทั้งมีการยกเลิกจัดคูหาเลือกตั้งในรัฐยะไข่ อ้างเหตุผลทางความมั่นคง จากกรณีการปะทะระหว่างกองกำลังติดอาวุธและกองทัพเมียนมาประปราย เช่นเดียวกับมุมมองของกลุ่มชาติพันธุ์ในต่างจังหวัด ที่มองว่าการบริหารงานที่ผ่านมาของเอ็นแอลดี เมินเฉยเรื่องสำคัญอย่างการแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ หวังว่าการเลือกตั้งของเมียนมาจะเป็นไปอย่างสงบเรียบร้อย มีความน่าเชื่อถือ และจะส่งผลให้ชาวโรฮีนจาที่ลี้ภัยในบังกลาเทศสามารถหวนคืนสู่ภูมิลำเนาได้ดังเดิมอย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์.