ค.ศ.1851 หรือ 169 ปีที่แล้ว พอล จูเลียส รอยเตอร์ เปิดสำนักข่าวโทรเลขที่กรุงลอนดอน ที่ทำให้รอยเตอร์ดังเป็นพลุก็คือ ข่าวมรณกรรมของอับราฮัม ลินคอน เมื่อ ค.ศ.1870 จากนั้นรอยเตอร์ก็สร้างเครือข่ายและส่งนักข่าวไปประจำสำนักงานทั่วโลกสำนักข่าวรอยเตอร์ได้รับความเชื่อถือทางด้านความถูกต้อง ทันเหตุการณ์ มีความเป็นอิสระ ปราศจากอคติ ต่อมามีการตั้งรอยเตอร์ทรัสต์และวางระเบียบไว้ 5 ข้อ ข้อใหญ่ใจความเป็นเรื่องการไม่อยู่ใต้ผลประโยชน์ มีอิสระเสรีภาพ ให้ข่าวที่เชื่อถือได้แก่สื่ออื่น ยอมจ่ายเงินเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เป็นประโยชน์ที่จะป้อนให้กับสื่ออื่น และต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลารอยเตอร์ใช้เวลาติดตามถามข่าวอยู่กว่าสองเดือน จนได้ข้อมูลของแท้แน่ชัดว่า ขณะ ดร.ลินดา ควิก นักระบาดวิทยามือหนึ่งของศูนย์ควบคุมโรคและการป้องกันของสหรัฐฯกำลังทำหน้าที่อบรมผู้เชี่ยวชาญนักระบาดวิทยาที่กรุงปักกิ่ง ท่านถูกประธานาธิบดีทรัมป์เรียกกลับสหรัฐฯเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 อย่างไม่รู้ตัวมาก่อนสหรัฐฯมีโครงการ U.S.Field Epidemiology Training Program ที่ส่ง ดร.ควิกไปช่วยอบรมที่จีน พอเกิดความขัดแย้งทางการค้า ทรัมป์เรียกตัว ดร.ควิกกลับและแจ้งแก่ ดร.ควิกในเดือนกันยายน 2562 ว่าสหรัฐฯจะไม่ต่อโครงการอบรมนี้อีกแล้วหน่วยงานที่ ดร.ควิกสังกัดคือ Centers for Disease Control and Prevention หรือ CDC ศูนย์ควบคุมและการป้องกันโรคสหรัฐฯ การส่งคนจาก CDC ไปในจีน ทำให้สหรัฐฯรู้ความเคลื่อนไหวของโรคในจีน เช่น รู้การเกิดโรคนิวมอเนียอย่างกระจุกตัว 27 ราย ในเมืองอู่ฮั่น เมื่อ 31 ธันวาคม 2562วันอาทิตย์ที่ผ่านมา ทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่ต่ออายุโครงการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญนักระบาดวิทยาอเมริกันที่กรุงปักกิ่งตัวผู้อำนวยการศูนย์ CDC ก็ออกมาบอกว่า การยกเลิกโครงการไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อสหรัฐฯในการที่จะได้ข้อมูลและไม่ได้เกี่ยวข้องต่อการที่ศูนย์ CDC จะไม่รู้ถึงการเกิดโรคล่วงหน้า แปลให้เข้าใจง่ายก็คือ แม้จะไม่ต่ออายุโรคโครงการ สหรัฐฯก็ยังรู้ถึงการระบาดของโรคในสาธารณรัฐประชาชนจีนล่วงหน้าเรื่องโควิด-19 สหรัฐฯโยนขี้ให้จีน จีนก็โยนขี้ไปที่สหรัฐฯ เราคนภายนอกก็ไม่เคยทราบนะครับ ว่าสองประเทศนี่มีโครงการที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับโรคระบาด ถ้าติดตามการพูดจาของประธานาธิบดี รัฐมนตรีต่างประเทศ และโฆษกกระทรวงต่างประเทศของทั้งสองประเทศ เราจะพบคำหรือวลีที่มีลักษณะแปลกๆ ที่ไม่เคยถูกนำมาใช้มาก่อนในวงการระหว่างประเทศ เป็นไปได้หรือไม่ว่าสองประเทศนี่อาจจะแอบต่อสู้กันโดยใช้เชื้อโรคเป็นอาวุธ โดยที่เราประชาชนพลเมืองโลกไม่รู้จีนที่โดนโควิด-19 โจมตีจนเศรษฐกิจเสียหายเละตุ้มเปะ ตอนนี้ใช้กฎเหล็กเข้าควบคุมการแพร่ระบาดและการสูญเสียได้แล้ว จากนั้นก็หันมาเล่นบทบาทผู้นำโลกในการแก้ไขปัญหาโควิด-19 เช่น การให้ความช่วยเหลือทางสาธารณสุขแก่อิตาลี สเปน อิหร่าน ฯลฯสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการพยายามหาความร่วมมือเพื่อแก้ไขสถานการณ์เศรษฐกิจโลกกำลังย่ำแย่อยู่ในขณะนี้ในเวที G7 ผมติดตามการประชุมก็พบว่า ประเทศร่ำรวยพวกนี้พยายามจะสกัดอิทธิพลจีนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโลก โดยมีกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) และธนาคารโลกเป็นเครื่องมือแถลงการณ์ร่วมผลการประชุม G7 จำนวน 800 กว่าคำไม่มีการเอ่ยถึงจีนเลย ทั้งที่จีนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ผมก็ไม่รู้ว่าถ้าไม่มีจีน คำแถลงการณ์เรื่องเศรษฐกิจโลกของพวกคุณจะเป็นจริงได้ยังไง เพราะตอนนี้จีนมีบทบาทนำในการกระตุ้นเศรษฐกิจ แม้แต่ในเรื่องโควิด-19 จีนก็มีผลงานเป็นรูปธรรมที่ทุกประเทศสามารถนำไปเป็นแบบอย่างได้สัปดาห์หน้ามีการเรียกประชุมฉุกเฉินกลุ่ม G20 ในเวทีนี้จีนค่อยมีพวกหน่อย ผมก็อยากรู้ว่าจีนจะเสนอรูปแบบการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและการจัดการกับโควิด-19 ในระดับโลกยังไง.นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัยsonglok1997@gmail.com