นับเป็นศักราชใหม่แห่งความสัมพันธ์ ระหว่าง “อินโดนีเซีย” และ “เนเธอร์แลนด์” หรือ “ฮอลแลนด์” เมื่อสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม-อเล็กซานเดอร์ และสมเด็จพระราชินีแม็กซิมา เสด็จเยือนอินโดนีเซีย อดีตอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์อย่างเป็นทางการครั้งแรกนาน 4 วัน เมื่อ 9-12 มี.ค.ที่ผ่านมาประธานาธิบดีโจโค วิโดโด แห่งอินโดฯ จัดพิธีต้อนรับกษัตริย์ วิลเลม-อเล็กซานเดอร์ และพระราชินีอย่างยิ่งใหญ่สมพระเกียรติที่ทำเนียบประธานาธิบดีเมืองโบกอร์ นอกกรุงจาการ์ตาโอกาสนี้ ประมุขเนเธอร์แลนด์ทรงแสดงความเสียพระทัยและ “ขอโทษ” ชาวอินโดฯอย่างเป็นทางการและจริงใจเป็นครั้งแรก กรณีที่กองทัพฮอลแลนด์เคยย่ำยีบีฑาเข่นฆ่าชาวอินโดฯ อย่างโหดร้ายในอดีต ทั้งทรงยอมรับ “วันประกาศเอกราช” ของอินโดฯจากฮอลแลนด์เมื่อ 75 ปีก่อนอย่างเป็นทางการครั้งแรกด้วยการเสด็จเยือนอินโดฯครั้งนี้ ซึ่งเป็นครั้งแรกของกษัตริย์วิลเลม-อเล็กซานเดอร์ ตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ในปี 2556 แต่เป็นครั้งที่ 4 ของพระราชินีแม็กซิมา ผู้เคยเป็นทูตพิเศษของเลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) มีเป้าหมายกระชับความสัมพันธ์ด้านการค้าและอื่นๆ โดยยึดผลประโยชน์ร่วมเป็นสรณะนอกจากเสด็จเยือนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ รวมทั้งสุสานวีรชนคาลิบาตา สถานที่สักการะชาวอินโดฯ ผู้พลีชีพในสงคราม และสุสานเมนเตง ปูโล ที่ฝังศพทหารดัตช์ 4,300 นาย ที่เสียชีวิตช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามเพื่อเอกราชของอินโดฯ กษัตริย์วิลเลม-อเล็กซานเดอร์ และวิโดโดยังร่วมเป็นสักขีพยานพิธีลงนามข้อตกลงด้านเศรษฐกิจหลายฉบับ รวมทั้งด้านการเกษตร สาธารณสุข อุตสาหกรรมทางทะเล และการปกป้องชายฝั่ง อย่าลืมเรา–นักเคลื่อนไหวเดินขบวนประท้วงที่หน้าสถานทูตเนเธอร์แลนด์ในกรุงจาการ์ตา เมื่อ 12 มี.ค. เรียกร้องให้โลกรับรู้ชะตากรรมของชาวภูมิภาคปาปัว ขณะที่กษัตริย์เนเธอร์แลนด์เสด็จเยือนอินโดนีเซีย (เอเอฟพี)เรียกว่าไม่ยึดติด ทิ้งบาดแผลในอดีตไว้ข้างหลัง “ชื่นมื่น” ด้วยกันทั้ง 2 ฝ่าย!อินโดฯ ดินแดนโพ้นทะเล จุดยุทธศาสตร์และการค้าสำคัญในเอเชีย เคยตกเป็นอาณานิคมของฮอลแลนด์นาน 350 ปี ก่อนประกาศเอกราชเมื่อ 17 ส.ค. 2488 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติ แต่ฮอลแลนด์ปฏิเสธ ส่งทหารเข้ากวาดล้างแต่ล้มเหลว จนต้องยอมรับว่าอินโดฯ เป็นชาติเอกราชในปี 2492 รัฐบาลอินโดฯอ้างว่า สงครามในครั้งนั้น มีผู้เสียชีวิตถึง 40,000 คน แต่นักประวัติศาสตร์ชาวดัตช์ส่วนใหญ่ระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแค่ ราว 1,500 คนรายงานของรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในปี 2511 ยอมรับว่าทหารดัตช์ “ใช้ความรุนแรงเกินเหตุ” กวาดล้างขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชในอินโดฯ แต่อ้างว่าเพื่อตอบโต้พวกกองโจรและผู้ก่อการร้ายที่โจมตีทหารดัตช์ รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ยังไม่เคยนำตัวทหารดัตช์ที่เข่นฆ่าชาวอินโดฯ มาขึ้นศาลรับโทษแม้แต่คนเดียว แม้รายงานของยูเอ็นในปี 2491 จะประณามการโจมตีชาวอินโดฯ ของทหารดัตช์ในยุคนั้นว่า “จงใจและโหดเหี้ยม”แรกๆ เนเธอร์แลนด์นิ่งเฉยไม่เคยขอโทษอินโดฯ จนกระทั่งปี 2556 เอกอัครราชทูตเนเธอร์แลนด์ประจำอินโดฯ สมัยนั้น เป็นผู้ “เปิดศักราชใหม่” แถลงแสดงความ “สำนึกผิด” และขอโทษที่ทหารดัตช์เข่นฆ่าชาวอินโดฯ ที่ลุกฮือต่อต้านอำนาจฮอลแลนด์อย่างโหดร้ายที่เกาะชวาและสุลาเวสี หลังอินโดฯ ประกาศเอกราชแม้การขอโทษครั้งนั้นมีขึ้นหลังจากบรรดาภรรยาหม้ายของชาวอินโดฯ ที่เสียชีวิตจากฝีมือทหารดัตช์ร่วมฟ้องร้องรัฐบาลเนเธอร์แลนด์ในศาลโลก แต่การขอโทษของเอกอัครราชทูตดัตช์ช่วยปูทางให้รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ส่งคณะผู้แทนทางการค้าชุดใหญ่ที่สุด นำโดยนายกรัฐมนตรีมาร์ก รัตต์ ไปเยือนอินโดฯ ในเดือน พ.ย. 2556ต่อมานายเบิร์ต โคเอนเดอร์ส รมว.ต่างประเทศ และนายกฯ มาร์ก รัตต์ แห่งเนเธอร์แลนด์ ก็แถลงขอโทษอินโดฯ อีกในปี 2559 และปลายปี 2562 ตามลำดับ ส่งผลให้ความสัมพันธ์ดียิ่งขึ้น จนนำไปสู่การเสด็จเยือนอินโดฯ ของกษัตริย์วิลเลม-อเล็กซานเดอร์ และพระราชินีแม็กซิมาในครั้งนี้ ทิ้งอดีตสู่อนาคต–ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด แห่งอินโดนีเซีย และนางอิเรียนา ภริยา (ขวา) ถวายการต้อนรับสมเด็จพระราชาธิบดีวิลเลม–อเล็กซานเดอร์ และสมเด็จพระราชินีแม็กซิมา แห่งเนเธอร์แลนด์ ที่พระราชวังโบกอร์ ใกล้กรุงจาการ์ตา เมื่อ 10 มี.ค. (รอยเตอร์)ตั้งแต่ประธานาธิบดีวิโดโดขึ้นกุมอำนาจในปี 2557 ความสัมพันธ์ระหว่างอินโดฯ กับเนเธอร์แลนด์ก็ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยวิโดโดเป็นผู้นำอินโดฯ คนแรกที่ไปเยือนเนเธอร์แลนด์ในปี 2559 หลังประธานาธิบดีอับดูร์รามาน วาฮิด ไปเยือนในปี 2543 ส่วนปี 2553 ประธานาธิบดีสุสิโล บัมบัง ยุทธโยโน ยกเลิกการเดินทางเยือนเนเธอร์แลนด์ในนาทีสุดท้าย หลังขบวนการแบ่งแยกดินแดนเคลื่อนไหวให้จับกุมเขาในข้อหาละเมิดสิทธิมนุษยชนวิโดโดกล่าวว่า “แน่นอนที่เราไม่สามารถลบล้างประวัติศาสตร์ได้ แต่เราสามารถเรียนรู้จากอดีตได้ เราพยายามเรียนรู้จากประวัติศาสตร์ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งมุ่งมั่นของเราในการสร้างความสัมพันธ์ที่เท่าเทียม เคารพซึ่งกันและกัน และเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย”เป็น “วิสัยทัศน์” ยาวไกล ปล่อยวางอดีตที่ขมขื่นเพื่ออนาคต แม้ข้อเรียกร้องของเหยื่อชาวอินโดฯ ที่ขอให้เนเธอร์แลนด์ชดใช้ความสูญเสียจากสงครามในอดีตยังไม่ได้รับการตอบสนองก็ตาม!บวร โทศรีแก้ว