ความสัมพันธ์ระหว่าง “ญี่ปุ่น” และ “เกาหลีใต้” มีขึ้นมีลงมาตลอด สืบเนื่องจากกรณีพิพาทที่กองทัพญี่ปุ่นยึดครองคาบสมุทรเกาหลี 35 ปี ช่วง พ.ศ. 2453-2488 ซึ่งทหารญี่ปุ่นก่อกรรมทำเข็ญไว้เยอะยากลืมเลือน ก่อนญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ 15 ส.ค.2488 หรือ 74 ปีก่อนความขัดแย้งเริ่มปะทุอีกรอบเมื่อเดือน ต.ค.ปีที่แล้ว หลังศาลสูงเกาหลีใต้ตัดสินให้ 3 บริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นจ่ายค่าชดใช้ให้แรงงานทาสชาวเกาหลีใต้หลายแสนคนที่ถูกญี่ปุ่นบังคับให้ทำงานในโรงงานญี่ปุ่นช่วงสงครามแต่รัฐบาลนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ แห่งญี่ปุ่นคัดค้านสุดตัว ชี้ว่าเรื่องนี้บรรลุข้อตกลงกันไปแล้วตามสนธิสัญญาปี 2508 ซึ่งญี่ปุ่นยอมจ่ายค่าชดใช้ก้อนโตให้เหล่า “นางบำเรอ” ชาว เกาหลีใต้ ที่ถูกเกณฑ์ไปเป็นทาสกามของทหารญี่ปุ่น ส่งผลให้ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันอีกครั้งเมื่อความขัดแย้งบานปลาย เมื่อ 1 ก.ค. ญี่ปุ่นก็ประกาศลดการส่งออกสารเคมี 3 ชนิดที่ใช้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์และหน้าจอโทรศัพท์มือถือให้เกาหลีใต้ ส่งผลกระทบต่อบริษัทเทคโนโลยีของเกาหลีใต้รุนแรง ต่อมา 2 ส.ค. ญี่ปุ่นยังประกาศถอดเกาหลีใต้จาก “บัญชีขาว” ทำให้เกาหลีใต้ไม่ได้รับสิทธิพิเศษทางการค้าและเศรษฐกิจจากญี่ปุ่นอีกต่อไป ส่วนเกาหลีใต้ก็ตอบโต้ ถอดญี่ปุ่นจาก “บัญชีขาว” ของตนเช่นกัน ส่งผลให้เกิด “สงครามการค้า” ขนาดย่อม คล้ายสงครามการค้าสหรัฐฯกับจีนบางยุคสมัย ผู้นำญี่ปุ่นแสดงความสำนึกผิด เช่นนายกฯ โตมิอิชิ มูรายามา ผู้นำพรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) แกนนำรัฐบาลญี่ปุ่นในปี 2536 เคยแถลงขอโทษอย่างสุดซึ้งในความทารุณโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นช่วงสงคราม แต่ประชาชนและนักการเมืองบางส่วน โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และไม่มี “ประสบการณ์ตรง” ในสงคราม ต่อต้านมูรายามา หาว่าขายชาติไม่เคารพบรรพบุรุษ หนึ่งในนั้นคือ ส.ส.หนุ่มแอลดีพีขณะนั้นชื่อ “ชินโสะ อาเบะ” ซึ่งต่อมาได้เป็นนายกฯสมัยแรกในปี 2549 และสมัยที่ 2 ในปี 2555 จนถึงปัจจุบันนอกจากแข็งกร้าวในเรื่องสงครามในอดีต อาเบะยังพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับใฝ่สันติเพื่อเพิ่มบทบาทของกองทัพญี่ปุ่น จึงไม่แปลกที่เขาจะยืนซดหมัดกับเกาหลีใต้ไม่ถอย แม้ประธานาธิบดีมูน แจ-อิน แห่งเกาหลีใต้ เสนอให้เจรจารอมชอมกัน แต่อาเบะยังไม่ตอบรับ ดังนั้น จึงไม่รู้ว่าความขัดแย้งจะยุติลงได้อย่างไร!บวร โทศรีแก้ว