สงครามการค้าสหรัฐฯกับจีน เพิ่มขีดร้อนแรงขึ้นอีกระดับ เมื่อ ประธานาธิบดีทรัมป์ ลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีวันพุธที่แล้ว “ขึ้นบัญชีดำ” บริษัทสมาร์ทโฟนยักษ์ใหญ่จีน “หัวเว่ยเทคโนโลยี” ที่มียอดขายอันดับ 2 ของโลกรองลงมาจากซัมซุง ห้ามบริษัทสหรัฐฯใช้อุปกรณ์โทรคมนาคมที่ผลิตโดยหัวเว่ย ห้ามค้าขายกับหัวเว่ย และห้ามโอนถ่ายเทคโนโลยีให้หัวเว่ย หากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาล โดยถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ รวมทั้ง บริษัทในเครือหัวเว่ยอีก 70 บริษัทนี่คือ การขยายสงครามการค้าขึ้นอีกระดับ ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯที่จะสร้างความหายนะต่อธุรกิจเอกชนและการค้าสองประเทศอย่างมหาศาลทีเดียวเมื่อวันอาทิตย์ สำนักข่าวรอยเตอร์ รายงายว่า อัลฟาเบต อิงค์ บริษัทแม่ของ “กูเกิล” เจ้าของเสิร์ชเอ็นจินค้นหาที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีคำสั่งห้ามธุรกิจในเครือทำธุรกิจกับหัวเว่ย ซึ่งจะส่งผลให้ ระบบ ปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ในสมาร์ทโฟนหัวเว่ย ไม่สามารถเข้าไปใช้บริการของกูเกิลได้ เช่น Google Play Store. Gmail. YouTube และแอปพลิเคชันต่างๆของกูเกิล สมาร์ทโฟนหัวเว่ย จะใช้ได้เพียง ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชันสาธารณะ เท่านั้นรายงานข่าวระบุว่า กูเกิล จะตัดการอัปเดตบางส่วนของระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ใน สมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่นใหม่เท่านั้น ส่วน สมาร์ทโฟนหัวเว่ยที่มีผู้ใช้อยู่แล้ว ยังสามารถดาวน์โหลดอัปเดตจากกูเกิลได้ เจ้าของโทรศัพท์หัวเว่ยต่างก็โล่งอก โดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งซื้อสมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่นใหม่เครื่องละหลายหมื่น ถ้าเข้ากูเกิลไม่ได้ก็หมดค่าระบบปฏิบัติการ Android เป็นระบบปฏิบัติการในสมาร์ทโฟนที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลก ณ สิ้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีผู้ใช้โทรศัพท์ระบบแอนดรอยด์กว่า 2,500 ล้านเครื่อง โทรศัพท์ทุก 3 ใน 4 เครื่องในโลกเป็นระบบแอนดรอยด์ เพราะเป็นระบบเปิด ถ้า สมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ สมาร์ทโฟนหัวเว่ยรุ่น 5G ไม่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันกูเกิลได้ โทรศัพท์หัวเว่ยก็ขายไม่ได้ทั่วโลก ยกเว้นในประเทศจีนปี 2561 โทรศัพท์หัวเว่ยมียอดขายกว่า 200 ล้านเครื่อง ไต่ขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของโลกรองจากซัมซุง ปัจจุบันมีผู้ใช้โทรศัพท์หัวเว่ยกว่า 500 ล้านเครื่อง ไตรมาส 1 ที่ผ่านมาหัวเว่ยก็ส่งสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ออกไปขายทั่วโลกอีก 59 ล้านเครื่อง ถ้าโทรศัพท์หัวเว่ยกว่า 500 ล้านเครื่อง ใน 170 ประเทศทั่วโลก ถูกกูเกิลปิดสวิตช์ อะไรจะเกิดขึ้น เดาไม่ออกการขึ้นบัญชีดำหัวเว่ย ของ ประธานาธิบดีทรัมป์ ในครั้งนี้ เป็นการขยายสงครามการค้าไปสู่สินค้าเทคโนโลยี ซึ่งไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อหัวเว่ย แต่ยังสร้างความเสียหายต่อบริษัทอเมริกันด้วย เช่น กูเกิล และบริษัทผลิตชิปยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯที่เป็นซัพพลายเออร์ หัวเว่ย เช่น intel. Qualcomm, Xilinx, Broadcom เป็นต้นรายงานข่าวของ บลูมเบิร์ก ระบุว่า ก่อนหน้านี้ ตั้งแต่กลางปี 2018 หัวเว่ยก็ได้ทยอยสะสมชิปที่จำเป็นในการผลิตสมาร์ทโฟนจากสหรัฐฯเป็นจำนวนมาก สามารถที่จะใช้ผลิตสมาร์ทโฟนได้อีกอย่างน้อย 3 เดือน ขณะเดียวกันหัวเว่ยก็มีการวิจัยออกแบบชิปของตัวเอง ถ้าหัวเว่ยสามารถผลิตชิปเองได้ รวมทั้งการสร้างระบบปฏิบัติการอื่นแทนแอนดรอยด์ได้ บริษัทสหรัฐฯก็เสียหายหนักไม่แพ้กัน หัวเว่ย ได้ออกแถลงการณ์ตอบโต้สหรัฐฯว่า การจำกัดหัวเว่ยจากการทำธุรกิจกับสหรัฐฯจะไม่ทำให้สหรัฐฯแข็งแกร่งขึ้น แต่จะจำกัดสถานะของสหรัฐฯให้ลดลง และมีทางเลือกที่แพงขึ้น ซึ่งจะทิ้งสหรัฐฯให้ล้าหลังในเครือข่าย 5G เพราะปี 2562 เป็นปีของการใช้งาน 5G ทั่วโลก สิ้นเดือนมีนาคม 2562 หัวเว่ยได้ลงนามสัญญา 5G กับทั่วโลก 40 ฉบับ ได้จัดส่งสถานีฐาน 5G ไปแล้วกว่า 70,000 จุด แต่สหรัฐฯ เพิ่งเริ่มต้น 5G ที่ ชิคาโก และ มินนีอาโปลิส เพียงสองเมืองเท่านั้นศึกไอทีสหรัฐฯกับจีนครั้งนี้ มีอนาคตเทคโนโลยีเป็นเดิมพันครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”