อีกไม่ถึง 10 วันก็จะสิ้นปี ผลงานของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งกุมอำนาจประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก และชูนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ก็ตกเป็นเป้าวิพากษ์วิจารณ์เช่นเคย
ปี 2018 ทรัมป์เผชิญทั้งศึกนอกศึกในรอบด้าน จนในทางการเมืองแล้วดูเขาอ่อนแอลง ทั้งจากความโกลาหลใน “ทำเนียบขาว” ซึ่งมีเจ้าหน้าที่คนใกล้ชิดระดับสูงถูกปลด ลาออก หรือสลับเก้าอี้เป็นว่าเล่น รวมทั้งนายเจฟฟ์ เซสชันส์ รมว.ยุติธรรม และนายจอห์น เคลลี หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่หรือ “พ่อบ้าน” ทำเนียบขาว
แม้ทรัมป์จะได้ชื่อว่าทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯดีขึ้น แต่ในการเลือกตั้งกลางเทอม พรรครีพับลิกันสูญเสียเสียงข้างมากในสภาผู้แทนฯ ให้พรรคเดโมแครต
นโยบายสร้างกำแพงกั้นพรมแดนเม็กซิโกยับยั้งผู้อพยพของทรัมป์ ซึ่งทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองพรากจากลูกหลานจนเกิดวิกฤติมนุษยธรรม ก็ถูกโจมตีหนัก มูลนิธิทรัมป์ของเขายังถูกสั่งยุบในข้อหาทำผิดกฎหมาย
แต่ชัยชนะทางการเมืองที่สำคัญที่สุดของทรัมป์คือการผลักดันให้นายเบรตต์ แควานอห์ ขึ้นมาเป็นผู้พิพากษาศาลฎีกา 1 ใน 9 คน แม้แควานอห์ถูกโจมตีอย่างหนักในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศสาวๆสมัยวัยรุ่น
ขณะที่นโยบายต่างประเทศ ทรัมป์ทำให้สหรัฐฯสูญเสียพันธมิตรไปไม่น้อยเมื่อถอนตัวจากข้อตกลงปารีสสู้โลกร้อน ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน แม้ถูกพันธมิตรทั่วโลกคัดค้านสุดตัว ทรัมป์ยังถูกโจมตีว่ายอมหงอให้ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียเกินไป
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังขัดแย้งกับหน่วยงานข่าวกรองของสหรัฐฯเอง รวมทั้งซีไอเอที่ชี้ว่ารัสเซีย แทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ปี 2559 ขณะที่คณะผู้สอบสวนข้อกล่าวหาทีมเลือกตั้งของทรัมป์ ร่วมมือกับรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ภายใต้การนำของนายโรเบิร์ต มูลเลอร์ ที่ปรึกษาพิเศษ อดีต ผอ. “เอฟบีไอ” ขมวดปมเข้ามาทุกที
...
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของทรัมป์ดีขึ้นก็คือการเจรจาสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์กับคิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ ที่สิงคโปร์เมื่อ 12 มิ.ย. ซึ่งนายคิมสัญญาว่าจะทำให้คาบสมุทรเกาหลีปลอดอาวุธนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์ แม้จนถึงบัดนี้ยังไม่มีท่าทีว่าจะปลดอาวุธนิวเคลียร์หรือขีปนาวุธของตนแต่อย่างใด
ผลงานของทรัมป์ดีหรือแย่คงยากจะฟันธง ฝ่ายผู้สนับสนุนก็เชียร์ไม่หยุด ส่วนฝ่ายต่อต้านก็ด่าไม่ยั้ง เรื่องนี้จึงขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน!
บวร โทศรีแก้ว