แจ็ค ดอร์ซีย์ ประธานบริหารคนดังของบริษัททวิตเตอร์เดินทางไปในสาธารณรัฐเมียนมาเพื่อนั่งวิปัสสนากรรมฐานนาน 10 วัน ดอร์ซีย์แสวงหาวิธีการสร้างความสงบทางใจและก็พบว่าวิปัสสนากรรมฐานที่ปฏิบัติกันในศาสนาพุทธนั้น ดีที่สุด
ขณะพำนักพักอยู่ในเมียนมา ดอร์ซีย์ส่งข้อความผ่านแอคเคาท์ทวิตเตอร์ส่วนตัวเมื่ออาทิตย์ที่ 9 ธันวาคม 2561 ว่า “ฉลองวันเกิดปีนี้ ผมมานั่งวิปัสสนากรรมฐานที่ปินอูละวินเป็นเวลา 10 วัน ณ ราตรีในวันเกิดของผม เราเข้าสู่ความเงียบสงบ นี่คือสิ่งที่ผมรับรู้”
ดอร์ซีย์ทวีตต่อว่า “เมียนมาสวยงาม ผู้คนมีความสุข อาหารการกินก็อร่อย ผมเยือนทั้งย่างกุ้ง มัณฑะเลย์ และพุกาม ไปตระเวนนั่งวิปัสสนากรรมฐานในวัดวาอารามหลายแห่งทั่วประเทศ” แกยังทวีตอีกว่า “ไฮไลต์การเดินทางครั้งนี้ของผมก็คือ การได้ถวายอาหารแด่พระภิกษุสงฆ์และแม่ชี ถวายรองเท้าแตะและร่ม การสวดมนต์ของแม่ชีที่อายุน้อยในมัณฑะเลย์ น่าปลื้มปีติมาก”
ถ้าดอร์ซีย์ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานในประเทศอื่น และทวีตข้อความเหล่านี้ออกไป ก็คงจะไม่มีใครตำหนิติเตียน ทว่าดอร์ซีย์เลือกไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานในเมียนมา ซึ่งขณะนี้มีผู้คนบนโลกนี้จำนวนไม่น้อยต่อต้าน ดอร์ซีย์จึงโดนต่อต้านไปด้วย
แอนดรูส์ สโตห์เลน ผู้อำนวยการด้านสื่อยุโรปของกลุ่มฮิวแมนไรท์วอทช์ ทวีตตำหนิดอร์ซีย์ว่า ตัวของสโตห์เลนเองไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิปัสสนากรรมฐาน แต่ขอตำหนิติหน่อยว่าดอร์ซีย์สนใจแต่เรื่องของตนเองมากเกินไปถึงขนาดไม่ใส่ใจการไปใช้เวลาอยู่ในประเทศที่มีกองทัพฆ่าและข่มขืนหมู่ แถมบังคับให้คนหลายแสนต้องหนี นี่เป็นปัญหาด้านมนุษยธรรมที่ร้ายแรงที่สุดในโลก
เลียม สแต็ก ผู้สื่อข่าวผู้มีชื่อเสียงแถวหน้าของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐฯ ทวีตตำหนิว่าซีอีโอใหญ่ของทวิตเตอร์ที่ไปอยู่ในประเทศที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ประเทศที่รัฐบาลสร้างและส่งข้อมูลปลอม แถมยังส่งข้อความที่สร้างความเกลียดชังเข้าไปในโลกโซเชียลมีเดีย
...
ยังมีการทวีตโจมตีดอร์ซีย์อย่างต่อเนื่องอีกเยอะ แทนที่จะได้สุขกายสบายใจ ผมว่าดอร์ซีย์อาจจะมีความวุ่นวายเกิดขึ้นทั้งทางใจและในการงานไปอีกนาน
เมียนมาจะกลายเป็นประเทศที่โดนต่อต้านจากประชาชนคนบนโลกเกือบทั้งใบ การต่อต้านและการแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์แสดงออกอย่างชัดเจนเมื่อคนที่มีชื่อเสียงหรือคนที่มีอิทธิพลต่อสังคมโลกไปเยือนเมียนมา ทันทีที่เขียนข้อความลงโซเชียลมีเดียก็จะโดนกระแสต่อต้านทันที เป็นเรื่องที่สร้างความยุ่งยากลำบากและกระอักกระอ่วนใจแก่ทั้งผู้ไปเยือนและผู้ที่ต้อนรับ
เดิมเมียนมาเจริญกว่ามาเลเซีย สิงคโปร์ และอีกหลายประเทศในทวีปเอเชีย เมียนมาเผชิญความโชคร้ายกลายเป็นประเทศยากจนเพราะนายพลเนวินทำปฏิวัติรัฐประหารเป็นผลให้ประเทศล้าหลังตั้งแต่ พ.ศ.2505 จนถึง พ.ศ.2553 (48 ปี) จึงมีการร่างรัฐธรรมนูญเสร็จและมีเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.2554
ผู้คนบนโลกเชียร์และมุ่งหวังตั้งใจจะเห็นประชาธิปไตยเมียนมาพัฒนาไปสู่ระดับสากล การเลือกตั้งครั้งที่สองเมื่อ พ.ศ.2558 ทุกคนเฮกันใหญ่เมื่อพรรคสันนิบาตแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (เอ็นแอลดี) ของนางอองซาน ซูจี ชนะเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย ใครๆก็ลุ้นให้เธอขึ้นเป็นผู้นำของประเทศตั้งแต่การเลือกตั้งเมื่อ 27 พฤษภาคม 2533 ที่พรรคของเธอชนะเลือกตั้งอย่างงดงาม แต่ตอนนั้น ผู้นำพรรคคนสำคัญของพรรคเอ็นแอลดีถูกทหารเผด็จการจับขังคุกจนหมด
เมื่อถึงวันเวลานาทีที่นางอองซาน ซูจี มีอำนาจของแท้ เมียนมาในยุคของเธอกลับมีปัญหาสารพัดกว่ายุคทหาร ผู้คนหลายแสนต้องอพยพออกจากแผ่นดินเกิดไปขออาศัยแผ่นดินเพื่อนบ้านพำนักพักชั่วคราว เมียนมาจึงกลายเป็นประเทศที่โลกตั้งแง่รังเกียจอย่างที่เห็นนี่แหละครับ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com