สมาคมข้าราชการท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา+ผู้แทนข่ายพนักงานส่วนท้องถิ่นจังหวัดนครราชสีมา เชิญ ร.ต.อ.นิติภูมิธณัฐ มิ่งรุจิราลัย พูด “การเตรียมความพร้อมขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รองรับเทคโนโลยียุค 4.0 และวิวัฒนาการโลกาภิวัตน์” 09.00-14.30 น. พุธพรุ่งนี้ 19 กันยายน 2561 ที่ห้องประชุมโรงแรมสบาย โฮเต็ล จ.นครราชสีมา

โลกผิดหวังกับรัฐบาลเผด็จการทหารพม่าที่ปกครองประเทศมานานหลายสิบปี ที่ทำให้พม่าตกต่ำย่ำแย่ กลายเป็นประเทศล้าหลังโลกจึงสร้างนางเอกประชาธิปไตย และสิทธิมนุษยชนที่มีชื่อว่า นางอองซานซูจี เพื่อให้เป็นสัญลักษณ์การต่อต้านทหาร และโลกก็ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2558

เสียงเฮของประชาชนคนทั้งโลกดังได้ไม่นาน วันนี้รัฐบาลของดาราประชาธิปไตยกลับถูกสำนักงานด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติรายงานว่า มีการรณรงค์ทางการเมืองเพื่อปราบปรามสื่ออิสระและดำเนินคดีนักข่าวจำนวนมากด้วยกฎหมายที่คลุมเครือ รายงานของสหประชาชาติบอกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในเมียนมาในยุคของรัฐบาลนางอองซาน ซูจี เป็นตัวอย่างของการคุกคามทางกฎหมายต่อสื่อ ในรายงานมีการอธิบายขยายความลงลึกถึงวิธีการจับกุมและการดำเนินคดีว่าเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก

การเขียนของสำนักงานด้านสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาตินั้นแรงมากครับ ปรากฏข้อความว่า กฎหมายและศาลกลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาลและทหารที่ทำให้เกิดการรณรงค์ทางการเมืองต่อต้านสื่ออิสระ มีการสร้างกฎหมายว่าด้วยโทรคมนาคม ความลับราชการ และการนำเข้า-ส่งออก เพื่อนำมาใช้ปราบปรามนักข่าว

ตั้งแต่ขึ้นตำแหน่งที่ปรึกษาแห่งรัฐและรัฐมนตรีต่างประเทศ ปีนี้เป็นปีที่ 2 ที่นางอองซาน ซูจี ซึ่งเป็นผู้นำโดยพฤตินัยของรัฐบาลเมียนมาปฏิเสธการเข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก แต่ส่งรัฐมนตรี 2 คน ในคณะรัฐบาลไปเข้าร่วมประชุมแทนเพื่อชี้แจงสถานการณ์การรับผู้ลี้ภัยกลับประเทศ และความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ

...

เดี๋ยวนี้นางอองซาน ซูจี ลดการเดินทางไปต่างประเทศ ผมคิดว่าเธอคงไม่อยากไปตอบคำถามผู้คนที่ถามให้เธอรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่ชาวโรฮีนจา 7 แสนกว่าคนต้องหนีออกจากแผ่นดินเมียนมาเมื่อปีก่อน มีแรงกดดันจากนานาประเทศไปที่เมียนมา และผมคิดว่าที่จะเป็นหัวข้อใหญ่ในการหารือกันในที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติก็คงเป็นเรื่องวิกฤติโรฮีนจา

เป็นที่ชัดเจนแล้วนะครับว่า ทีมสอบสวนของสหประชาชาติลงพื้นที่และมีหลักฐานชัดเจนว่า ทหารรัฐบาลเมียนมามีเจตนาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮีนจา ตอนนี้ศาลอาญาระหว่างประเทศยืนยันแล้วว่า ศาลมีอำนาจไต่สวนข้อกล่าวหาการเนรเทศชาวโรฮีนจาจากเมียนมาไปบังกลาเทศ รัฐบาลนางอองซาน ซูจี ก็ดิ้นน่าดู ตะโกนก้องร้องต้านว่า เมียนมาไม่ได้เป็นสมาชิกศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลอย่างคุณ ไม่มีขอบเขตอำนาจมาไต่สวนพวกฉัน

ศาลอาญาระหว่างประเทศก็ตะโกนก้องร้องแจ้งว่า ทำไมจะไม่มี ก็ที่คุณไล่ชาวโรฮีนจาออกไป คนเหล่านี้ไปอยู่ในดินแดนบังกลาเทศ บังกลาเทศประเทศนี้นี่แหละเป็นรัฐสมาชิกของศาลอาญาระหว่างประเทศ ขณะที่ศาลอาญาฯตะโกนเล่นงานรัฐบาลเมียนมา ข้าหลวงใหญ่สิทธิ มนุษยชนก็ทำงานเพื่อจัดการกับเมียนมาควบคู่กันไป ส่งคณะทำงานชุดใหม่เข้าไปรวบรวมหลักฐานสำหรับการฟ้องร้องรัฐบาลเมียนมาในข้อกล่าวหา การก่ออาชญากรรมต่อชาวโรฮีนจา

เรื่องราว ภาพถ่าย และคลิปที่ถ่ายจากโทรศัพท์มือถือที่แพร่ขยายกระจายไปในหมู่ผู้คนทั้งโลกเป็นหลักฐานว่าทหารและตำรวจเมียนมาทั้งข่มขืน เข่นฆ่า และวางเพลิงชุมชนชาวโรฮีนจา

ที่ผมว่าไม่น่าจะรอดก็คือ พลเอกอาวุโสมิน อ่อง หล่าย ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและนายพลของเมียนมาอีก 5 นาย ที่ต่อไปในอนาคตมีสิทธิจะโดนลากไปขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ นางอองซาน ซูจี ก็พูดจาปราศรัยช่วยทหาร สัมภาษณ์ครั้งใดก็ทำให้กลุ่มเอ็นจีโอและผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชนเบือนหน้าหนี

เมียนมาน่าเศร้า โดนนานาอารยประเทศเล่นงานมาตลอด ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยไหน แม้ว่าสมัยนี้น่าจะเป็นยุคทองของเมียนมาที่จะสร้างภาพลักษณ์ของประเทศให้เป็นสากล ก็กลับพลาดโอกาส ที่เป็นเช่นนี้เพราะในเมียนมาเต็มไปด้วยพวกหัวรุนแรงสุดโต่ง ที่ยุยงส่งเสริมให้คนต่างศาสนาทะเลาะกัน จนรัฐบาลและทหารไม่มีทางออก

ผลเสียที่ได้ตกอยู่กับชาวเมียนมาทั้งปวงเองครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com