พ.ศ.2530 สภาแห่งชาติของสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนามเมื่อผ่านร่างพระราชบัญญัติการลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ตั้งแต่ปลาย พ.ศ.2530 เป็นต้นมามีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างเกิดขึ้น และการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีก็ขยับขึ้นมาเรื่อยๆ จนเวียดนามพ้นจากการเป็นประเทศยากจนมาเป็นประเทศที่มีรายได้ปานกลางในปัจจุบันทุกวันนี้
รัฐบาลเวียดนามมุ่งมั่นในเรื่องการดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศ ตั้งแต่ผ่านพระราชบัญญัติฯ จนถึงปลาย พ.ศ. 2560 ทั่วแผ่นดินเวียดนามมีโครงการลงทุนจากต่างประเทศมากกว่า 24,700 โครงการ หลายโครงการทำสำเร็จเสร็จสิ้นไปแล้ว บางโครงการยังดำเนินอยู่ ยอดเงินทุนจดทะเบียนทั้งสิ้นทั้งปวงประมาณกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินลงทุนจากต่างประเทศเหล่านี้ถูกเบิกจ่ายไปแล้ว 1.7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
พ.ศ. 2530-2560 เป็นระยะเวลา 30 ปีที่เวียดนามใช้การลงทุนจากต่างประเทศมาช่วยให้ประชาชนคนของตนเองลืมตาอ้าปากได้ เงินที่ได้จากการลงทุนจากต่างประเทศนี่ล่ะครับ เป็นส่วนสำคัญในการพยุงเศรษฐกิจของเวียดนาม คนที่มาลงทุนก็จะมาจ้างงาน ทำให้คนเวียดนามมีงานทำ นอกจากนั้น ยังได้ถ่ายทอดทักษะความรู้ความสามารถในการทำงาน ได้ถ่ายทอดเทคโนโลยี
พ.ศ.2533-2540 เวียดนามมีปัญหาคนว่างงานบานเบอะเยอะแยะ ตอนนั้นประเทศเพิ่งพ้นภาวะสงครามใหม่ๆ คนเหล่านี้ไม่ได้รบพุ่งในสงครามแล้วก็พบว่าตัวเองตกงาน การลงทุนจากต่างประเทศช่วยให้แรงงานเหล่านี้มีงานทำ และทำให้เวียดนามมีเงินเหลือไปสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ทำถนนหนทาง สร้างท่าเรือและสนามบิน
สถานประกอบการที่เปิดดำเนินการอยู่ได้ด้วยเงินจากการลงทุนจากต่างประเทศที่ยังดำเนินการอยู่มีจำนวน 2 หมื่นกว่าแห่ง จากการสำรวจพบว่า มากที่สุดคือ ธุรกิจอุตสาหกรรมแปรรูป อสังหาริมทรัพย์ นอกนั้นก็เป็นพวกการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและก๊าซ บริษัทของเกาหลีใต้ ของสิงคโปร์ และของญี่ปุ่นหลายแห่งที่แต่เดิมเคยตั้งอยู่ในประเทศไทย เมื่อเวียดนามเสนอเงื่อนไขในการลงทุนที่ดีกว่าให้ ก็ย้ายฐานไปลงทุนในเวียดนามจำนวนไม่น้อย
...
ที่ดังที่สุดก็คือ กลุ่มบริษัทซัมซุง ซึ่งประกาศจะสร้างฐานผลิตของซัมซุงที่ใหญ่ที่สุดในโลกในเวียดนาม ตอนนี้กลุ่มซัมซุงสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนาขนาดใหญ่ในเวียดนาม และใช้วิศวกรเวียดนามมากถึง 2,000 คน ในการวิจัยและพัฒนา พวกเกาหลีใต้ค้นพบว่า ในตอนแรก วิศวกรเวียดนามเหล่านี้ทำงานที่ซับซ้อนมากไม่ได้ แต่หลังจากที่ได้รับการฝึกฝนในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆแล้ว วิศวกรเวียดนามทำงานตอบสนองความต้องการของซัมซุงได้เป็นอย่างดีกว่าวิศวกรจากประเทศอื่น
ก่อนหน้าที่เวียดนามจะลืมตาอ้าปากได้ เวียดนามใช้ไทยในการเปรียบเทียบ คนเวียดนามจำนวนไม่น้อยมีความมุ่งหวังตั้งใจว่าจะพัฒนาตนเองและเวียดนามให้ยกระดับเทียบเท่าไทย ตอนแรกก็คุยกันว่า ถ้าจะให้ทันเมืองไทยซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสมัยนั้น จะต้องใช้เวลา 20 ปี ผมฟังคำพูดนี้จากปากของอธิการบดีชาวเวียดนามซึ่งพูดต่อหน้าผู้ว่าราชการจังหวัดจากเวียดนามภาคกลาง เมื่อ พ.ศ. 2544 ระยะเวลา 20 ปี ก็คือ พ.ศ.2564
พ.ศ.2561 ดูเหมือนว่า เวียดนามตามเราทันแล้วในหลายเรื่อง และหากเรายังเชื่องช้าเดินหน้า 1 ก้าว เดินหลัง 3 ก้าว ผมมีความเชื่อว่า เราจะถูกเวียดนามแซงในเวลาอันใกล้ ที่นักลงทุนทั่วโลกไปลงทุนในเวียดนาม 1 ในบรรดาหลายสาเหตุก็คือ เพราะรัฐบาลเวียดนามขยันเดินทางออกไปเจรจาเพื่อขอลงนามเอฟทีเอกับประเทศอื่น เมื่อเป็นเขตการค้าเสรีแล้ว การส่งสินค้าไปขายก็เหลือภาษีเพียงเล็กน้อย หรือเป็น 0 เสียด้วยซ้ำ
ผลิตสินค้าและส่งไปขายในหลายประเทศด้วยภาษีเป็น 0 ทำให้ใครๆก็อยากไปลงทุนในเวียดนาม ทำให้สินค้ามีศักยภาพในการไปแข่งขันในตลาดต่างๆได้
หลายบริษัทขายสินค้าในแผ่นดินไทย ลงไปตั้งที่ทำการร้านค้าในตำบลและอำเภอ คนไทยทำมาหากินได้เงินเท่าใดก็เอาไปซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค จากนั้นบริษัทไทยประเภทนี้ก็หอบเอาเงินไปลงทุนในเวียดนามกันบริษัทละถึงแสนล้าน
เอาเงินจากผู้คนในท้องถิ่นไทยไปทำให้คนเวียดนามมีงานทำ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com