สงครามซีเรีย 7 ปี ได้เข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยว หัวต่ออีกครั้ง หลังกองทัพรัฐบาลเตรียมส่งกำลังเข้าบดขยี้ฐานที่มั่นสุดท้ายของกบฏซีเรีย ในจังหวัดอิดลิบ ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ

นับตั้งแต่วันที่ 4 ก.ย. กองทัพอากาศผสมรัสเซีย-ซีเรีย ได้ปฏิบัติการถล่มต่อเป้าหมายต้องสงสัยอย่างหนักหน่วง หลังจากหยุดพักการโจมตีมาเป็นเวลากว่า 3 สัปดาห์ ซึ่งที่ผ่านมา การนำร่องของทัพรัสเซียมักตามมาด้วยการรุกครั้งใหญ่ของทัพรัฐบาลซีเรียเสมอ

งานนี้ยังตอบไม่ได้ว่า กระบวนการตีเมืองคืนจะใช้เวลานานกี่เดือน แต่เป็นไปได้สูงว่าสูตรรัสเซียนำซีเรียตาม จะประสบความสำเร็จ ดูจากปัจจัยเดินเกมของฝ่ายรัสเซีย กดดันชาติตะวันตก ที่พัวพันกับกลุ่มกบฏซีเรียว่าเป็นสิทธิของรัฐบาลซีเรียในการชิงประเทศตนเองคืนมา พร้อมกล่าวหาสหรัฐฯ และอังกฤษจัดฉากการโจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรีย เพื่อสร้างความชอบธรรมในการโจมตีรัฐบาลซีเรีย

จุดนี้รัสเซียได้เปรียบเต็มประตู เพราะชาติตะวันตกมีเหตุผลหลักในการยิงขีปนาวุธถล่มซีเรีย คือเรื่องอาวุธเคมี แถมหากมีการใช้สารพิษขึ้นมาจริงๆ รัสเซียก็สามารถเรียกร้องนานาชาติตั้งทีมเข้าตรวจสอบข้อเท็จจริง ใช้เวลานานเป็นเดือน

ถ้าตะวันตกไม่ฟัง เกิดขึงขังอยากแทรกแซงสถานการณ์ขึ้นมา ฝ่ายกลาโหมรัสเซียก็เตรียมมาตรการไว้แล้ว โดย ณ ตอนนี้ กองเรือผสมรัสเซียอยู่ระหว่างคุมเชิงทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตลอดชายฝั่งซีเรีย อย่างน้อย 25 ลำ

ไม่รวมถึงฝูงเครื่องบินรบคุ้มกันกองเรือ “ซู-30 เอสเอ็ม” “ซู-33” เครื่องบินต่อต้านเรือดำน้ำ ตู-142 เอ็มเค และเครื่องทิ้งระเบิดขนาดหนัก หงส์ขาว ตู-160 ติดตั้งขีปนาวุธจมเรือรบ หรือฝูงเครื่องบินรบอเนกประสงค์อีกจำนวนมาก ที่ประจำการอยู่ในฐานทัพคูเมมิม ทางตะวันออกของซีเรีย

และหากตะวันตกกดปุ่มขีปนาวุธเข้าจริง ก็คงจบอีหรอบเดิมเหมือนการโจมตีแบบจำกัดวงในวันที่ 14 เม.ย. 2561 ที่แทบไม่มีผลกระทบใด เพราะทัพซีเรียขนยุทโธปกรณ์ไปฝากไว้กับรัสเซีย

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่จะมองข้ามช็อตหรือไม่ ว่าหลังปราบกบฏซีเรียในเมืองอิดลิบสำเร็จ รัฐบาลซีเรียจะดำเนินการเช่นไรกับพื้นที่ 1 ใน 4 ของประเทศทางทิศตะวันออก ซึ่งขณะนี้ครองโดยกองกำลังชาวเคิร์ด เครื่องมือของชาติตะวันตกนำมาใช้ปราบนักรบเหี้ยมรัฐอิสลาม หรือไอเอส.

...

ตุ๊ ปากเกร็ด