จากการวิเคราะห์ครั้งใหม่เกี่ยวกับเถ้ากระดูกจากการเผาศพมนุษย์จำนวน 25 ศพ ที่นักโบราณคดีขุดพบในช่วงต้นทศวรรษที่ 1920 ถูกฝังอยู่ที่สโตนเฮนจ์ (Stonehenge) อนุสาวรีย์หินแท่งยุคก่อนประวัติศาสตร์ในเขตวิลท์เชอร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด แยกได้แล้วว่ามี 10 ศพที่มาจากภูมิภาคอื่น โดยมาจากทางตะวันตกของอังกฤษ และ 5 ใน 10 คนนี้อาจมาจากทางตะวันตกเฉียงใต้ห่างไปประมาณ 225 กิโลเมตร ส่วนที่เหลืออีก 15 คนอาจเป็นชาวท้องถิ่นในวิลท์เชอร์เอง หรือเป็นลูกหลานของผู้อพยพจากทางตะวันตกมีความเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจมีทั้งผู้ชายและสตรี มีสถานะสูงในสังคม แต่ก็ยังไม่กระจ่างชัดว่าบุคคลที่เสียชีวิตเหล่านี้ตายไปในเวลาไม่นาน ก่อนที่จะมีการลำเลียงศพไปยังสโตนเฮนจ์ หรืออาจเป็นเถ้ากระดูกบรรพบุรุษหลายชั่วอายุคน แต่ถึงจะยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเถ้าทั้งหมดเป็นของคนที่สร้างสโตนเฮนจ์จริง ทว่าก็พบข้อมูลสำคัญคือวิธีเผาศพด้วยความร้อนสูงถึง 1,000 องศาเซลเซียส ได้ทิ้งร่องรอยทางเคมีไว้ที่กะโหลกศีรษะ นั่นคือธาตุสตรอนเชียม (strontium) ที่ช่วยสืบค้นถึงต้นกำเนิดของอาหารโดยเฉพาะพืชจากแหล่งกำเนิดที่พวกเขากินเข้าไปการวิจัยใหม่นี้ชี้ให้เห็นว่าทั้งผู้คนและวัตถุหลายชิ้น มีการกระจายตัวอยู่ในพื้นที่แห่งนี้เมื่อราว 5,000 ปีก่อน และผู้คนบางส่วนก็อยู่ในภูมิภาคนี้ เมื่อพวกเขาตายไปเศษเถ้ากระดูกก็ถูกฝังไว้ใต้เสาหินสโตนเฮนจ์ โดยกระดูกที่เก่าแก่ที่สุดมีอายุ 3,000 ปีก่อนคริสตกาล.