เมื่อ 22 เม.ย. กลุ่มผู้เชี่ยวชาญเตือนอาจมีการใช้ประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์แบบเป็นกลุ่มก้อน ในภูมิภาคเอเชีย คล้ายที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ เมื่อพบบัญชี ผู้ใช้ที่ไม่แสดงตัวตนหรือนิรนามของเว็บไมโครบล็อก “ทวิตเตอร์” ในภูมิภาคเอเชียเพิ่มมากอย่างน่าสงสัย
มายา กิลลิสส์-แชพแมน ผู้ประกอบการธุรกิจเทคโนโลยีชาวกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันทำงานที่ซิลิคอน วัลเลย์ อาณาจักรแห่งอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลกในนครซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ คือ 1 ในผู้พบความผิดปกติกรณีนี้ เมื่อพบว่าบัญชีทวิตเตอร์ของเธอที่มียอดผู้ติดตามรายใหม่เพิ่มกว่า 1,000 คน เมื่อต้นเดือน เม.ย.ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นราว 227% ในรอบแค่ 1 เดือน
กิลลิสส์-แชพแมน ผู้เคยทำงานให้บริษัทกำจัดอีเมลขยะหรือโฆษณาธุรกิจทางอินเตอร์เน็ต ทำการตรวจสอบและพบว่ามีการจัดตั้งกลุ่มบัญชีทวิตเตอร์ปลอมขึ้น โดยผู้ประกอบการนิรนามที่ตรวจสอบที่มายาก และพบว่าบัญชีนิรนาม ไม่มีภาพยืนยันตัวตนและแทบจะไม่มีการใช้งานนับแต่สมัครไว้ และยังพบด้วยว่าบัญชีทวิตเตอร์นิรนามกลุ่มนี้ไปติดตามทวิตเตอร์ของคนดังๆในกัมพูชาด้วย ปรากฏการณ์เดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่มีชื่อเสียงในไทย เวียดนาม เมียนมา ไต้หวัน ฮ่องกงและศรีลังกาเช่นกัน
แม้บัญชีทวิตเตอร์ปลอมส่วนใหญ่จะจัดตั้งเพื่อหวังผลด้านโฆษณาธุรกิจหรือสินค้าออนไลน์ (spam) แต่พบมีการใช้ทางการเมืองในเอเชียด้วยเช่นมีการทำบัญชีทวิตเตอร์ปลอมแบบหมู่เพื่อทุ่มสนับสนุนจนนายโรดริโก ดูเตร์เต ชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ เมื่อปี 2559
ด้านโฆษกบริษัททวิตเตอร์เผยว่า วิศวกรกำลังตรวจสอบและจะจัดการทุกบัญชีที่ละเมิดกฎทวิตเตอร์ อย่างไรก็ดี เรื่องบัญชีปลอมเป็นเรื่องละเอียดอ่อน การไล่ลบอาจกระทบจุดขายของทวิตเตอร์ที่มียอดผู้ใช้ราว 330 ล้านคน
...
ข่าวระบุว่า มีรายงานของกรรมาธิการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ เมื่อปี 2557 พบว่าในกลุ่มผู้ใช้ทวิตเตอร์ทั้งหมดนั้น คาดว่ามี อยู่ราว 5-8.5% เป็นบัญชีปลอม
ขณะที่ผลศึกษาของบริษัท “ทวิตเตอร์ ออดิต รีพอร์ต” ระบุว่า ในกลุ่มผู้ติดตามประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ 51 ล้านบัญชีพบว่าในนี้มีมากถึง 16 ล้านคนเป็นบัญชีปลอม ส่วนผู้เชี่ยวชาญแห่งไซราคิวส์ ยูนิเวอร์ซิตี้ รัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯระบุด้วยว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ใช้สื่อสังคมออนไลน์เป็นประโยชน์กลายเป็นพิมพ์เขียวให้คนอื่นๆเลียนแบบ และว่ากรณีของทวิตเตอร์ยังถือว่าเล็กน้อย เมื่อเทียบกับเฟซบุ๊กที่มีผู้ใช้กว่า 2,000 ล้านคน.