ภาพจาก : Bangkok Gems & Jewelry Fair

พ่อค้าอัญมณีและเครื่องประดับชาวต่างประเทศบินมาร่วมงาน Bangkok Gems & Jewelry Fair ครั้งที่ 61 ระหว่าง 21-25 กุมภาพันธ์ 2561 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ก่อนกลับได้แวะทานอาหารและสนทนาถึงแวดวงอัญมณีกับพ่อค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทย ฝรั่งชมว่ากระทรวงพาณิชย์ไทยจัดงานได้ดีในระดับสากล แต่มีคนเข้ามาร่วมน้อยมาก ไม่เหมือนสมัยก่อนที่คนเยอะจนเดินเบียดเสียดยัดเยียดกัน

จากสายตาของพ่อค้าอัญมณีและเครื่องประดับชาวยุโรป บอกว่า พ่อค้าอัญมณีชาวไทยมีจำนวนลดลงไปเรื่อยๆ ประมาณร้อยละ 80 ของพ่อค้าพลอยสีในไทยที่พวกตนพบเจอ น่าจะเป็นพ่อค้าจากเอเชียใต้ทั้งอินเดีย ปากีสถาน อัฟกานิสถาน และศรีลังกา แต่ถ้าเป็นพลอยแท้ และพลอยสังเคราะห์ที่มาแรงเป็นพ่อค้าจากจีน ส่วนเพชรยังอยู่ในมือของพ่อค้าไทยและอิสราเอล

ฝรั่งตั้งคำถามกับพวกเราหลายประโยค เช่น เกิดอะไรขึ้นกับพ่อค้าไทย คำถามนี้ทำให้เรานึกถึงอดีตเมื่อเกือบ 20 ปีที่แล้ว ที่มีการนำคนไทยไปแสวงหาพลอยดิบในต่างประเทศ ทั้งในศรีลังกา มาดากัสการ์ โมซัมบิก แทนซาเนีย เคนยา ไนจีเรีย บอตสวานา นามิเบีย แอฟริกาใต้ ปากีสถาน อัฟกานิสถาน ออสเตรเลีย รัสเซีย ฯลฯ

รัฐบาลไทยสมัยก่อนทุ่มเต็มที่กับรายการสารคดีที่ไปถ่ายทำกลางป่าดงพงไพรเพื่อเบิกทางให้คนไทย แถมยังมีมือที่มองไม่เห็นอุ้มพ่อค้าไทย นอกจากนั้น ยังมีการเชิญบุคคลสำคัญจากประเทศที่มีพลอยเข้ามาประชุมสัมมนา รวมทั้งจัดให้พ่อค้าไทยพารัฐมนตรีเหมืองแร่ของประเทศเป้าหมายไปเที่ยวเพื่อสร้างความคุ้นเคย พ่อค้าอัญมณีไทยสมัยก่อนจึงเข้าถึงแหล่งวัตถุดิบได้ก่อนพ่อค้าของประเทศอื่น ที่สำคัญคือ การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของพ่อค้าในอดีตทำได้ง่ายกว่าปัจจุบัน

...

ผมบอกกับฝรั่งว่า รัฐบาลไทยสมัยนี้ก็ทุ่มเทมากครับ อาจจะทุ่มมากกว่าสมัยก่อนเสียด้วยซ้ำ แต่ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา รัฐบาลอินเดียและจีนหันมาส่งเสริมอุตสาหกรรมอัญมณีตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ มีการอัดเม็ดเงินลงไปและแต่งตั้งคนในวงการอัญมณีเข้ามารับผิดชอบ ไม่เหมือนกับในบางประเทศที่ผู้รับผิดชอบเป็นข้าราชการที่ไม่เคยสัมผัสวงการอัญมณีมาก่อน พอรับตำแหน่งก็ศึกษา 2-3 เดือน แล้วก็เปลี่ยนและวางยุทธศาสตร์ใหม่ รับผิดชอบอยู่ 2 ปีก็ย้ายไปรับตำแหน่งอื่น คนใหม่ก็ย้ายมา แล้วก็เข้าสู่วัฏจักรเดิมอย่างนี้

ได้ยินผู้ใหญ่คุยกับฝรั่งว่า เมื่อก่อนไทยเป็นศูนย์กลางพลอยโลก เนื่องจากเรามีวัตถุดิบ องค์ความรู้ และฝีมือแรงงาน เมื่อวัตถุดิบหมด เราก็เดินทางไปหาวัตถุดิบตามประเทศต่างๆ วันนี้เราหยุดเดินทาง ในขณะที่จีนส่งเสริมการเดินทางและให้เงินทุนพ่อค้าอัญมณีจีนล่วงหน้า ส่วนอินเดียก็มีคนของตนค้าขายอยู่ต่างประเทศเยอะ เมื่อมาจับงานอัญมณีจึงรวบรวมวัตถุดิบได้ง่ายและไว

เมื่อก่อน จีนและอินเดียยากจน แต่ปัจจุบันทั้ง 2 ประเทศมีคนชั้นกลางเพิ่มขึ้น ตลาดอัญมณีและเครื่องประดับของจีนและอินเดียจึงใหญ่โตมโหฬาร คุ้มค่าต่อการลงทุนในแรงงานและเครื่องจักร การผลิตสามารถทำได้ครั้งละจำนวนมาก ทำให้ต้นทุนของสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับที่ผลิตจากทั้ง 2 ประเทศนี้ ราคาถูกอย่างนึกไม่ถึง

สินค้าเครื่องประดับจะเข้าตลาดจีน ต้องจ่ายภาษีนำเข้าร้อยละ 0-35 มีภาษีมูลค่าเพิ่มอีกร้อยละ 17 และภาษีบริโภคสำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยอีกร้อยละ 5-10 ทำให้ต้องขายในราคาสูง แข่งขันได้ยาก ทางรอดที่พอเป็นไปได้ก็คือ นำแรงงานฝีมือจากไทยไปร่วมผลิตกับจีนในประเทศจีน เพื่อผลิตสินค้าประเภทไฮเอนด์ แต่ถ้าเป็นสินค้าระดับกลางและระดับล่าง ผมก็คิดว่าคนจีนไม่เล่นด้วย เพราะต้นทุนค่าแรงงานช่างฝีมือไทยของเราสูง

เราเคยถูกแย่งตลาดการเจียระไนเพชรไปทำที่อินเดีย ตอนนี้มีข่าวว่า บริษัทเจียระไนเพชรในอินเดียขัดแย้งกับกลุ่มบริษัทผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับ ผมว่านี่เป็นโอกาสที่รัฐบาลไทยจะดึงให้กลุ่มบริษัทผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดียมาใช้ช่างเจียระไนในประเทศไทย อย่าลืมนะครับ ไทยเรายังมีโอกาสเรื่องเพชร ปีที่แล้ว 2560 ไทยส่งออกเพชรไปยังตลาดโลกได้มากถึง 5 หมื่นล้านบาท ถ้ากลุ่มบริษัทผู้ผลิตอัญมณีและเครื่องประดับของอินเดียมาใช้ช่างเจียระไนของไทยเราก็จะมีเม็ดเงินไหลเข้าประเทศมากกว่านี้ครับ.

นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com