เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา ชาวอินเดียทุกคนได้รับข่าวร้าย ว่าพวกเขาสูญเสียนางศรีเทวี กาปูร์ หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘ศรีเทวี’ นักแสดงหญิงระดับตำนานของประเทศไปอย่างไม่มีวันกลับ หลังจากเธอเสียชีวิตเพราะจมน้ำในอ่างอาบน้ำโรงแรม ระหว่างอยู่ในนครดูไบ ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อร่วมงานแต่งงานของหลานชาย
ศรีเทวี ถูกยกย่องเป็นสัญลักษณ์ของนักแสดงหญิงในอินเดีย เธออยู่ในวงการบันเทิงของแดนภารตะมานานถึง 50 ปี แสดงภาพยนตร์เกือบ 300 เรื่อง และสามารถเบียดแทรกเข้าไปในวงการภาพยนตร์บอลลีวูด มีเพียงผู้ชายที่จับจองความสำเร็จเอาไว้มาเนิ่นนาน โดยวันนี้ ไทยรัฐออนไลน์จะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักประวัติของผู้หญิงคนนี้กัน
*สมาชิกครอบครัวของศรีเทวี
...
ศรีเทวี เกิดเมื่อวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2506 ที่เมือง ศิวะกาสี ในรัฐมัทราส (ปัจจุบันแยกออกตัวเป็นหลายภูมิภาคในอินเดีย) โดยมีชื่อว่า ศรี อัมมา ยันเกอร์ ไอยพัน มีบิดาชื่อ ไอยพัน ยันเกอร์ เป็นนักกฎหมาย และมารดาชื่อ ราเชชวรัมมา เธอยังมีพี่สาวนามว่า ศรีละตา และน้องชายต่างมารดาอีก 2 คน
นายไอยพันเสียชีวิตในปี 2534 ขณะที่ศรีเทวีกำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง ‘ลัมเฮ’ (Lamhe) ขณะที่การเสียชีวิตของมารดาของศรีเทวีซึ่งจากไปด้วยภาวะแทรกซ้อนจากโรคมะเร็งสมองในปี 2539 นั้น ถึงกับทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนในสหรัฐอเมริกา เพราะหมอผ่าสมองผิดข้าง สร้างความเสียหายให้กับเนื้อเยื่อสำคัญของระบบประสาทการมองเห็นและความจำ
ความผิดพลาดนี้กลายเป็นข่าวครึกโครมในสหรัฐฯ และนำไปสู่คำสั่งศาลซึ่งทำให้ประธานาธิบดี บิล คลินตัน ในยุคนั้น ต้องเสนอร่างกฎหมายบังคับโรงพยาบาลให้เปิดเผยการรักษาที่ผิดพลาด
ศรีละตาแต่งงานกับนายสันชัย รามะสวามี ในปี 2532 ก่อนที่ศรีเทวีจะสมรสกับนายบอนีย์ กาปูร์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ ในปี 2539 ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกัน 2 คนคือ จันทวี และ คูชี
*ศรีเทวีเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก
ศรีเทวีเริ่มงานในวงการภาพยนตร์อินเดียตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ โดยปรากฏตัวในภาพยนตร์ภาษาทมิฬหลายเรื่องระหว่างปี 2510-2517 และตัดสินใจออกจากโรงเรียนเพื่อไล่ตามความฝันในการแสดงภาพยนตร์ของเธอ โดยที่นายไอยพัน ผู้เป็นพ่อจ้างครูส่วนตัวมาสอนศรีเทวีที่บ้านแทน
หลังจากนั้น ศรีเทวีก็ได้พิสูจน์ตัวเองว่ามีพรสวรรค์ในด้านภาษา โดยแสดงในภาพยนตร์ถึง 5 ภาษา คือ ทมิฬ, เตลูกู, มาลายาลัม, กันนาดา และภาษาฮินดู ซึ่งล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ กอปรกับความสามารถในการแสดงอย่างเป็นธรรมชาติ และฝีมือในการเต้นระบำ ทำให้เธอสามารถอยู่ในวงการมาได้ตลอด 5 ทศวรรษที่ผ่านมา
*ประสบความสำเร็จในบอลลีวูด
ศรีเทวีเปิดตัวในภาพยนตร์ภาษาฮินดูของ ‘บอลลีวูด’ เมื่อปี 2522 กับภาพยนตร์เรื่อง โสลวะ สวรรค์ (Solva Sawan) แต่ภาพยนตร์ที่ทำให้เธอแจ้งเกิดในบอลลีวูดอย่างแท้จริงกลับเป็นเรื่อง ‘สัทมา’ (Sadma) ในปี 2526 และหลังจากเธอแสดงคู่กับ จีเท็นดรา นักแสดงชายดาวรุ่งในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่อง ‘หิมมัทวาลา’ (Himmatwala) ในปีเดียวกันนั้น เธอก็กลายเป็นหนึ่งในแสดงหญิงอันดับต้นๆ ของบอลลีวูดในทันที
...
ตลอดยุคปี 2520-2540 ศรีเทวีสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการทำให้ภาพยนตร์ที่มีผู้หญิงเป็นตัวละครหลักได้รับความนิยมขึ้นมา เช่นเรื่อง ‘จันทนี’ และ ‘ลัมเฮ’ ทั้งยังเรียกเสียงชื่นชมมากมายจากการรับบทบาทตลกในเรื่อง ‘มิสเตอร์ อินเดีย’ (Mr India) ในปี 2530 และเรื่อง ‘จัลบาซ’ (Chaalbaaz) ในปี 2532 ซึ่งตรงข้ามกับภาพลักษณ์นางเอกบอลลีวูดของเธออย่างสิ้นเชิง
ศรีเทวีได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลบนเวที ‘ฟิล์มแฟร์ อวอร์ดส์’ หนึ่งในงานประกาศรางวัลเก่าแก่ที่สุดของอินเดียถึง 10 ครั้ง และชนะถึง 5 ครั้ง ในปี 2556 รัฐบาลอินเดียยังมอบเหรียญ ‘ปัทมา ศรี’ รางวัลเชิดชูเกียรติพลเรือนขั้นสูงสุดลำดับ 4 ของอินเดียให้แก่เธอด้วย
...
*พักจากวงการและกลับมาอย่างยิ่งใหญ่
ในปี 2539 ศรีเทวีเข้าพิธีแต่งงานอย่างลับๆ กับนายบอนีย์ กาปูร์ ผู้ผลิตภาพยนตร์ชื่อดังชาวอินเดีย ทำให้เธอหันไปใช้ชีวิตครอบครัว กับลูกสาวทั้ง 2 คน และพักจากการแสดงภาพยนตร์ไปนานถึง 15 ปี
อย่างไรก็ตาม ศรีเทวีตัดสินใจรับงานแสดงอีกครั้ง ในปี 2555 และประสบความสำเร็จอย่างมากกับภาพยนตร์เรื่อง ‘อิงลิช วิงลิช’ (English Vinglish) แสดงเป็นแม่บ้านผู้ไปเรียนภาษาอังกฤษในลอนดอน จากนั้นเธอก็ได้แสดงภาพยนตร์อีกหลายเรื่องจนกระทั่งเรื่องที่ 300 คือ ‘มัม’ (Mom) ในปี 2560 และเป็นงานแสดงบนจอเงินครั้งสุดท้ายของเธอจนกระทั่งเธอเสียชีวิตอย่างกะทันหัน
*ลาจากชั่วนิรันดร์
ในวันพุธที่ 28 ก.พ. รัฐบาลอินเดียจัดพิธีศพแบบรัฐพิธีอย่างสมเกียรติให้กับ ศรีเทวี และมีการประกอบพิธีเผาศพของเธอ ณ สถานฌาปนกิจ ‘วิลี พาร์ลี ศีวา สามาจ’ ในนครมุมไบ ในเวลา 15:53 น. วันเดียวกันร่างของศรีเทวีถูกบรรจุในโลกแก้วอย่างดี และถูกลำเลียงด้วยขบวนรถซึ่งประดับด้วยดอกไม้สีขาวงดงาม โดยมีนายบอนีย์ กาปูร์ สามีและบุตรสาวทั้งสองคนของเธอยืนเคียงข้าง
...
ในพิธียังเปิดให้ชาวอินเดียนับหมื่นคนที่มารวมตัวกันได้เข้าเคารพศพ เพื่อส่งสตรีผู้เป็นที่รักของคนทั้งประเทศเป็นครั้งสุดท้าย แต่ภาพของศรีเทวี กับรอยยิ้มพิมพ์ใจของเธอ ซึ่งส่องประกายผ่านจอเงินมาตลอดหลายสิบปี จะอยู่ในใจของพวกเขาตลอดไป