การร่างแถลงการณ์ก่อนเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียนครั้งที่ 31 ระหว่างวันที่ 13-14 พ.ย. ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งมีเหล่าบรรดาผู้นำสมาชิก 10 ประเทศกับอีก 10 ประเทศพันธมิตรและสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้าร่วม เมื่อ 13 พ.ย. แยกไว้หลายประเด็น ทั้งเรื่องให้ความสำคัญเกี่ยวกับการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ด้านมนุษยธรรมกับเหยื่อที่ประสบภัยพิบัติธรรมชาติในเวียดนาม และสถานการณ์การสู้รบกับกองกำลังรัฐอิสลาม (ไอเอส) ในฟิลิปปินส์ รวมถึงผลกระทบของชุมชนที่อาศัยในรัฐยะไข่ ของเมียนมา
อย่างไรก็ตาม คำร่างดังกล่าวไม่ได้ชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับสถานการณ์ของรัฐยะไข่ แม้แต่การใช้คำว่า “โรฮีนจา” สำหรับมุสลิมชนกลุ่มน้อย ซึ่งนางอองซาน ซูจี ที่ปรึกษาแห่งรัฐบาลเมียนมาขอไม่ให้ใช้ แต่สมาชิกบางประเทศ รวมมาเลเซีย ซึ่งส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามแสดงความเป็นห่วง และอาจจัดประชุมนอกรอบ
นอกจากนี้ ในร่างแถลงการณ์ยังไม่ได้ระบุเรื่องปัญหาพิพาทในทะเลจีนใต้ โดยชี้แจงเหตุผลว่า เป็นเพราะสถานการณ์เริ่มสงบขึ้น และสิ่งสำคัญทุกฝ่ายร่วมมือกันรักษาความสงบ เสถียรภาพ และเสรีภาพของวิถีเส้นทางการบินเหนือน่านฟ้าทะเลจีนใต้ ตามระเบียบของกฎหมายสากล
วันเดียวกัน ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตร์เต แห่งฟิลิปปินส์ ประชุมหารือเป็นการส่วนตัวกับประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ซึ่งเป็นไปอย่างอบอุ่นและฉันมิตร โดยอธิบายถึงนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของตัวเอง รวมถึงกลุ่มไอเอส และการค้า ส่วนเรื่องสิทธิมนุษยชนกล่าวถึงเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับการทำสงครามกับยาเสพติด ทั้งที่กลุ่มเรียกร้องสิทธิมนุษยชนพยายามกดดันทรัมป์พูดอย่างแข็งขันกับดูเตร์เตเรื่องนี้ ซึ่งทำให้ประชาชนเสียชีวิตเกือบ 4,000 ศพ
ขณะที่ทรัมป์กลับประกาศถึงมิตรภาพที่ยิ่งใหญ่กับดูเตร์เต และการประสบความสำเร็จครั้งสำคัญกับการเดินทางเยือนเอเชียครั้งนี้ ทั้งเรื่องการค้า และเกาหลีเหนือ โดยจะนำทุกอย่างไปประมวลผลหลังเดินทางกลับสหรัฐฯ ก่อนออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการในวันพุธที่ 15 พ.ย.นี้ ตามเวลาท้องถิ่น และไม่ตอบคำถามว่าหยิบยกประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้นมาพูดคุยกับดูเตร์เตหรือไม่
...
ขณะเดียวกัน นายเกิง ชวง โฆษกประจำกระทรวงต่างประเทศจีน เผยว่า ความร่วมมือในภูมิภาคแห่งนี้ไม่ควรที่จะทำให้เป็นทั้งเรื่องการเมืองหรือแยกตัวออกไป เพราะคำว่า “อินโด-แปซิฟิก” ที่ทรัมป์ใช้ระหว่างเยือนเอเชียครั้งนี้ ซึ่งเป็นการจับมือระหว่างประเทศ ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจในแปซิฟิก ทั้งออสเตรเลีย อินเดีย และญี่ปุ่น เพื่อต้องการคานอำนาจของจีน.