จากกรณีสมาชิกคณะมนตรีความมั่นคงสหประชาชาติ หรือยูเอ็นเอสซี ลงมติเอกฉันท์ทั้ง 15 ชาติ รับร่างมาตรการคว่ำบาตรรอบใหม่ต่อเกาหลีเหนือของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 5 ส.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งจะเพิ่ม มาตรการห้ามนำเข้าหรือส่งออกถ่านหิน อาหารทะเล แร่ธาตุ ที่ประเมินกันจะทำให้เกาหลีเหนือสูญเสียรายได้กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯนั้น ส่งผลให้รัฐบาลเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์ตอบโต้อย่างรุนแรงเป็นครั้งแรกหลังถูกคว่ำบาตรรอบใหม่ โดยระบุว่าจะไม่หยุดการพัฒนานิวเคลียร์อย่างเด็ดขาด
โดยเมื่อวันที่ 7 ส.ค. รัฐบาลเกาหลีเหนือออกแถลงอย่างเป็นทางการว่า การคว่ำบาตรถือเป็นการละเมิดอธิปไตยเกาหลีเหนืออย่างรุนแรง เราจะไม่ยอม ถอยแม้แต่ก้าวเดียวในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางนิวเคลียร์ และจะไม่ยอมให้เรื่องนี้มาเป็นเครื่องมือต่อรองในการเจรจาใดๆ ในขณะที่เกาหลีเหนือกำลังถูกข่มขู่จากสหรัฐฯ และการคว่ำบาตรครั้งนี้สหรัฐฯจะต้องชดใช้เป็นพันเท่า
ก่อนหน้านี้ นายรี ยอง โฮ รมว.ต่างประเทศเกาหลีเหนือ ได้ปฏิเสธการเรียกร้องขอเจรจาทางทหาร เพื่อลดความตึงเครียดในสถานการณ์คาบสมุทรเกาหลี จากนายกัง คยุง ฮวา รมว.ต่างประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างงานเลี้ยงต้อนรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศร่วมประชุมอาเซียนในกรุงมะนิลา ฟิลิปปินส์ โดยกล่าวว่า เป็นการขอเจรจาแบบไม่จริงใจ เพราะเกาหลีใต้กำลังร่วมมือกับสหรัฐฯกดดันเกาหลีเหนือ
ส่วนนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รมว.ต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวก่อนหน้ากำหนดเดินทางเยือนไทยวันที่ 8 ส.ค. ว่า ไม่มีแผนการหวนคืนสู่โต๊ะเจรจากับเกาหลีเหนือในช่วงเวลานี้ และสหรัฐฯจะพิจารณา เจรจาก็ต่อเมื่อเกาหลีเหนือยุติโครงการพัฒนาขีปนาวุธ เลิกทดสอบยิงขีปนาวุธที่มีมาอย่างต่อเนื่องเสียที ซึ่งการลงมติคว่ำบาตรรอบใหม่โดยยูเอ็นเอสซี แสดงให้เห็นว่าโลกเริ่มหมดความอดทนกับเกาหลีเหนือแล้ว พร้อมเผยว่า ทั้งนายหวัง อี้ รมว.ต่างประเทศจีน และนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รมว.ต่างประเทศรัสเซีย แสดงท่าทีไปในทางเดียวกันในเรื่องเกาหลีเหนือ
...
วันเดียวกัน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานบรรยากาศจากญี่ปุ่นว่า ตามเมืองต่างๆในพื้นที่จังหวัด ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เสี่ยงต่อการทดสอบยิงขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ มีการซักซ้อมหลบภัยนิวเคลียร์อย่างต่อเนื่อง พร้อมระบุว่า ในปีนี้เกาหลีเหนือทดสอบยิงขีปนาวุธแล้ว 14 ครั้ง และทุกครั้งมีทิศทางมุ่งมายังญี่ปุ่น.