ภรรยา ด.ต.ศุภมิตร จราจร สภ.พรหมบุรี จ่อเข้าแจ้งความตำรวจไซเบอร์ หลังสามีถูกไลฟ์สดกดดันจนมีอาการวูบชักเกร็ง ด้านเจ้าหน้าที่ตรวจสอบเข้าข่ายความผิดหรือไม่

จากกรณีที่เพจชื่อดังไลฟ์สดกดดัน ด.ต.ศุภมิตร พวงประเสริฐ ผบ.หมู่งานจราจร สภ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี ขณะปฏิบัติหน้าที่ตั้งกล้องตรวจจับความเร็วรถบนทางหลวงหมายเลข 32 บริเวณเกาะกลางถนน ต.บ้านหม้อ อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี จนมีอาการวูบชักเกร็งจำนวน 2 ครั้ง ก่อนนำตัวส่ง รพ.ตำรวจ เมื่อวันที่ 19 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามที่ได้รายงานไปแล้วนั้น (อ่านข่าว: ตร.สิงห์บุรีวูบล้มฟุบ ถูกไลฟ์สดกดดัน ตั้งกล้องจับความเร็ว ผกก.ลั่นอย่าให้เกินขอบเขต

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 24 มี.ค. 68 ที่กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เมืองทองธานี อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. เปิดเผยว่า เบื้องต้นทางภรรยาของ ด.ต.ศุภมิตร ได้ประสานมายังตำรวจไซเบอร์ โดยมีความประสงค์เข้ามาแจ้งความกับตำรวจไซเบอร์ ขณะนี้ได้สั่งการให้ บก.สอท.2 เตรียมพนักงานสอบสวนไว้รับเรื่องราว ซึ่งจะต้องมีการตรวจสอบว่าในการเข้าพบครั้งนี้ ทางภรรยาผู้เสียหายมีจุดประสงค์อะไร

โดยทางตำรวจก็จะต้องพิจารณาตรวจสอบว่าการไลฟ์สดจะเข้าความผิดตาม ม.14, ม.16 หรือมาตราใดบ้างที่มีผลกระทบต่อผู้อื่น หรือเป็นความผิดฐานดูหมิ่นด้วยการโฆษณา อย่างไรก็ตามจะต้องมีการสอบปากคำภรรยาของผู้เสียหายอย่างละเอียด

ส่วนการกล่าวอ้างของเจ้าของเพจว่าเป็นการตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น ก็สามารถทำได้ ยอมรับว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นบุคคลสาธารณะ และพร้อมที่จะให้ทำการตรวจสอบ แต่การตรวจสอบจะต้องมีขอบเขต และต้องดูเจตนาความเหมาะสมในการใช้สื่อโซเชียล เนื่องจากการไลฟ์สดต้องดูความเหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องสถานที่ต้องดูว่าเป็นสถานที่สาธารณะหรือไม่ หรือเป็นสถานที่ส่วนตัว

...

นอกจากนี้การไลฟ์ต้องไม่เป็นการขัดขวางเจ้าพนักงานหรือตำรวจในการปฏิบัติหน้าที่ และต้องไม่เป็นการดูหมิ่นไม่ว่าจะเป็นด้วยกิริยาหรือคำพูด และต้องไม่เป็นการพูดชี้นำหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง ซึ่งต่างจากกรณีที่สื่อมวลชนนำเสนอข้อเท็จจริงจากแหล่งข่าวเผยแพร่ไปยังประชาชน ตรงนี้สามารถทำได้ เพราะมีเจตนาในการเผยแพร่ชัดเจน "หากพบว่ามีการกระทำใดที่เลยขอบเขต ผู้ถูกกล่าวหาก็ต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง"

ส่วนรายละเอียดว่าตำรวจนายดังกล่าวมีอาการป่วยก่อนหน้านี้อยู่แล้ว หรือถูกกดดันจนทำให้เกิดอาการนั้น จะต้องดูเป็นกรณีไป ส่วนรายละเอียดว่าตำรวจมีอาการป่วยอยู่แล้วหรือไม่นั้นจะต้องมีการสอบถามกับภรรยา ซึ่งขณะนี้อยู่ในการรักษาตัวของแพทย์

ส่วนประเด็นเรื่องการขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่และไลฟ์จนเป็นเหตุให้ผู้หนึ่งผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เรื่องนี้ต้องมีการพิจารณา หากอยู่ในความรับผิดชอบของอำนาจการสอบสวนของตำรวจไซเบอร์ก็สามารถดำเนินการได้ทันที หรือหากอยู่ในความรับผิดชอบท้องที่ใด ก็จะมีการประสานกัน หรือหากตำรวจท้องที่มีข้อมูลหลักฐานชัดเจน ก็จะให้ตำรวจไซเบอร์ส่งสำนวนไปให้ท้องที่ที่เกิดเรื่อง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ บช.ภ.1 ในการทำคดีหลักเกี่ยวกับเรื่องทำร้ายร่างกายเป็นคดีเดียวกันเลยก็สามารถทำได้.