เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีข่าวเล็กๆชิ้นหนึ่งระบุว่าตำรวจพม่าเตรียมจัดส่งคนไทยกว่า 90 คน และคนจีนรวมทั้งคนต่างชาติอีกกว่า 1,000 คนที่ถูกหลอกไปทำงานในพื้นที่ “ชเวโก๊กโก่” ซึ่งตั้งอยู่เมืองเมียวดี ประเทศพม่า ตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ให้ตำรวจไทย

แต่...ภายหลังการส่งตัวถูกชะลอออกไป ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวครั้งนี้น่าสนใจไม่น้อย แม้จำนวนคนที่จะถูกส่งกลับจากฝั่งเมียวดีดูเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนไทยนับพันที่ถูกหลอกไปทำงานที่เมืองเล่าก์ก่าย เขตโกก้าง รัฐฉานเหนือชายแดนพม่า-จีน...

แต่การที่พม่าแสดงความจำนงจะส่งมอบตัวคนไทยและคนต่างชาติกลุ่มนี้มีความหมายและน่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง เพราะประเด็น “มาเฟียจีน” และกลุ่มคนที่ถูกหลอกไปทำงานคอลเซ็นเตอร์ กลายเป็นประเด็นเชื่อมโยงไปถึงสถานการณ์การ “สู้รบ” ในพม่า ซึ่งขณะนี้รัฐบาลทหารพม่ากำลังตกอยู่ในอาการลำบาก

ถ้ายังพอจะจำกันได้เงื่อนไขหนึ่งที่ปฏิบัติการโจมตีในชื่อ Operation 1027 ต่อต้านกองทัพพม่าเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2566 เกิดขึ้นได้เพราะ “รัฐบาลทหารพม่า” ไม่ยอมทำตามคำร้องขอของจีนในการปราบปรามและส่งมอบกลุ่มมาเฟียจีนที่ทำธุรกิจสีดำใน “เขตปกครองโกก้าง” ซึ่งอยู่ชายแดนพม่า-จีน

...

“จีน”...จึงได้สนับสนุนกลุ่มพันธมิตรทางเหนือของพม่า ซึ่งเรียกตัวเองว่า The Brotherhood Alliance โจมตีกองทัพพม่าจนขยายวงกว้างสามารถยึดพื้นที่ทางตอนเหนือของรัฐฉานได้จำนวนมาก...กองกำลังโกก้างสามารถโค่นล้มขั้วที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทหารพม่าและบุกยึดเมืองเล่าก์ก่ายไว้ได้สำเร็จ

“ปฏิบัติการ 1027” ได้กลายเป็นจุดพลิกผันที่สร้างขวัญและกำลังใจให้กองกำลังชาติพันธุ์และฝ่ายต่อต้านทหารพม่าทั่วประเทศ จนมีการเปิดปฏิบัติการกลายเป็นไฟลามทุ่ง ภาพทหารระดับนายพลของกองทัพพม่าที่สยบยอมมอบตัวให้กับกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ ส่งผลสะเทือนในความรู้สึกกับทหารตัดมาดอว์อย่างลึกซึ้ง

ภาสกร จำลองราช “สำนักข่าวชายขอบ” www.transbordernews.in.th เปิดประเด็น

ขณะที่ “จีน” นอกจากสามารถกวาดล้างเหล่า “มาเฟีย” ที่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนจีนจำนวนมากแล้ว จีนยังกินรวบเพราะสามารถแผ่อิทธิพลรุกเข้าไปในพม่า เหล่ากองกำลังชาติพันธุ์ตลอดแนวชายแดนต่างตกอยู่ใต้ศูนย์อำนาจของจีนทั้งหมด ขณะที่รัฐบาลทหารพม่าอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

เพราะ...ตัวเองก็ต้องพึ่งพา “อาวุธ” และ “ความช่วยเหลือ” จากจีน

ภายหลังที่จีนปฏิบัติตามนโยบายการปราบปรามมาเฟียโดยล้างบางตั้งแต่ฟิลิปปินส์ ลาว (คิงส์โรมัน สามเหลี่ยมทองคำ) กัมพูชา จนถึงเขตโกก้าง ทำให้กลุ่มมาเฟียเคลื่อนย้ายถ่ายเทมาอยู่ในพื้นที่ที่เป็นเมืองใหม่ต่างๆ ฝั่งเขตเมียวดีตรงข้ามกับอำเภอแม่สอด

เช่นเดียวกัน...ไม่นานมานี้เอง ที่ อ.แม่สาย จ.เชียงราย จะเห็นภาพคนจีนหนีกระเซอะกระเซิงจากฝั่งเมืองท่าขี้เหล็กประเทศพม่าข้ามมาฝั่งไทยจำนวนมาก ต่างหลบหนีกระจัดกระจายเหมือน...“ผึ้งแตกรัง”

พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำเมยเมืองเมียวดีกลายเป็นศูนย์กลางใหญ่ของกลุ่มมาเฟียจีน ไม่ใช่แค่ชเวโก๊กโก่ หรือเคเคปาร์คเท่านั้น แต่ยังมีบ่อนกาสิโนกระจัดกระจายอยู่ในพื้นที่กว่า 30 แห่ง

บริเวณนี้กลายเป็นฐานที่มั่นของ “ธุรกิจสีเทาดำ” เพราะมีปัจจัยหลายด้านที่เกื้อหนุน โดยเฉพาะเป็นพื้นที่ที่ไร้การควบคุมของอำนาจรัฐ เต็มไปด้วยอิทธิพลของกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ไม่น้อยกว่า 6-7 กลุ่ม ทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารพม่าและฝ่ายที่กองทัพพม่าให้การสนับสนุนซึ่งต่างสร้างอาณาจักรขุมประโยชน์ของตัวเอง

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ทหารพม่าทำรัฐประหาร พื้นที่บริเวณนี้กลับกลายเป็นทำเลทองของนักธุรกิจจีนอีกครั้ง หลังจากรัฐบาลพรรคเอ็นแอลดีสั่งยุติโครงการต่างๆไป การลงทุนสร้างเมืองใหม่ที่พยายามฉายภาพให้เห็นว่าเป็นธุรกิจบันเทิงบ้าง ธุรกิจค้าขายบ้าง แต่เนื้อแท้คือ “ระเบียงอาชญากรรมขนาดใหญ่”

ไม่ว่าจะเป็น...การพนัน การต้มตุ๋นออนไลน์ การค้ามนุษย์ ฯลฯ

“เม็ดเงินปริมาณมหาศาลถูกโปรยให้กับกองกำลังชาติพันธุ์เจ้าของพื้นที่ที่ให้การคุ้มครอง เม็ดเงินจำนวนมากถูกส่งต่อไปยังรัฐบาลทหารพม่า ที่สำคัญคือเงินก้อนโตนี้ถูกอัดฉีดเข้าไปในระบบเส้นสายของไทย ทั้งในวงการราชการและนักการเมือง” ภาสกรว่า

...

“แม่สอด” คือประตูเข้า-ออกสู่อาณาจักรแห่งผลประโยชน์ ทุกตารางนิ้วพื้นที่หน้าประตูจึงเป็นเขตต่อรองของ...“ขบวนการคอร์รัปชัน” ไม่ว่าจะเป็นคนหรือสินค้าต้องอาศัยแผ่นดินไทยเป็นทางผ่าน เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่เก้าอี้ระดับหัวหน้าหน่วยงานในแม่สอด จึงราคาพุ่งกระฉูดไม่น้อยหน้าเขตดังๆในกทม.?

พื้นที่ชายแดนแม่สอด–เมียวดีซึ่งกั้นด้วยแม่น้ำเมยเล็กๆ จึงกลายเป็นระเบียงบ่มเพาะอาชญากรรมระดับโลก ขณะที่รัฐบาลไทยและระบบราชการไทยอ่อนโยนกับการทุจริตคอร์รัปชันเสมอ จนขบวนการมาเฟียเติบโตสามารถสร้างเมืองใหม่อย่างมั่นคงหรือเปล่า...ชวนให้ขบคิด

ขณะที่เล่าลือกันว่าทั้ง...นักการเมืองในรัฐสภาตลอดจนอดีตนายตำรวจใหญ่จำนวนหนึ่งก็ต่างทำตัวเป็น “ข้อต่อ” ให้กับกลุ่มมาเฟียจีนเหล่านี้ จนเกิดการฟอกเงินอย่างเป็นระบบ ทะลุทะลวงเข้าไปถึงเมืองหลวง?

ย้อนไปเมื่อปีที่แล้ว ทางการจีนโดยหน่วยงานด้านความมั่นคงและตำรวจได้ประสานตำรวจไทย เพื่อตามจับกลุ่มมาเฟียจีนในพื้นที่ระเบียงอาชญากรรมแห่งนี้ เพราะมีประชาชนจีนจำนวนมากถูกหลอกให้มาลงทุนและมาทำงาน เรียกได้ว่า “จีนต้มจีน” เพราะเมืองใหม่ถูกอุปโลกน์ขึ้นว่าเป็นแหล่งค้าขายและทำเลทอง

...

ทางการจีนได้ตามรอยของพวกมาเฟียจีนมาประจำการอยู่แม่สอด เขาส่งรายชื่อบัญชีดำให้ทางการไทย เช่นเดียวกับที่ส่งให้ทางการกัมพูชา... ลาวและพม่า ซึ่งหลายประเทศร่วมกวาดล้างอย่างได้ผล แต่ไม่ใช่ประเทศไทย เพราะทุกวันนี้ “มาเฟียจีน” ยังคงใช้พาสปอร์ตปลอมเข้า-ออกพื้นที่ชายแดนได้เป็นว่าเล่น

“การที่รัฐบาลทหารพม่าเสนอส่งมอบคนไทยกว่า 90 คนและชาวต่างชาติอีกกว่า 1,000 คนให้ทางการไทย จึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า...จริงๆแล้วคนกลุ่มนี้เป็นใคร เพราะแท้ที่จริงแล้วพื้นที่ในเขตระเบียงอาชญากรรมแห่งนี้ไร้ซึ่งอำนาจควบคุมจากทางการพม่า ทุกกองกำลังที่มีอาวุธครบมือพร้อมที่จะยิงกันเสมอ”

วิธีการของทางการพม่าจึงเสมือนโยนหินถามทาง นอกจากได้เห็นความเคลื่อนไหวในกลุ่มติดอาวุธต่างๆแล้ว ยังเป็นการเอาใจจีนซึ่งพยายามแผ่อิทธิพลให้กว้างขวางมาถึงชายแดนไทย เนื่องด้วยผลประโยชน์ของจีนในพม่านั้นมหาศาล...และน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อทางการไทยเตรียมนำร่องสร้าง...“ระเบียงมนุษยธรรม”

โดยส่งต่อความช่วยเหลือระหว่างกาชาดไทยและกาชาดพม่า ไปยังชาวบ้านกะเหรี่ยงที่หนีภัยการสู้รบ 2 หมื่นคน ใน 3 จุดฝั่งพม่า โดยผ่านอำเภอแม่สอดลึกเข้าไป 5 กิโลเมตรในเขตเมียวดี ซึ่งเป็นเขตอิทธิพลของกองกำลังชาติพันธุ์ โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทยก็จะลงพื้นที่

บรรยากาศเช่นนี้หลายฝ่ายกำลังจับตามองความเคลื่อนไหว เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าการส่งต่อความช่วยเหลือระหว่าง “รัฐต่อรัฐ” ในพื้นที่แถบนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะเป็นพื้นที่อิทธิพลของกลุ่มกองกำลังชาติพันธุ์ต่างๆ ซึ่งกองทัพพม่าถูกขับไล่ออกไปแล้ว จนถึงวันนี้ก็ยังกลับเข้ามาไม่ได้

...

คำถามสำคัญทิ้งท้ายมีว่า “ระเบียงมนุษยธรรม” ครั้งนี้...ทำเพื่ออะไร มีเบื้องลึก...เบื้องหลังหรือไม่อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ชวนติดตามยิ่ง.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม