ประเด็นฉาวโฉ่สะเทือน “วงการสีกากี” กรณีเยาวชนแก๊งลูกตำรวจก่อเหตุรุมทำร้ายป้ากบวัย 47 ปี จนสลบแล้วอุ้มขึ้นท้ายรถ จยย.ลากตีซ้ำเสียชีวิตนำศพโยนลงสระน้ำข้างโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.สระแก้ว

แต่หลังเกิดเหตุ “ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ” กลับควบคุมตัวลุงเปี๊ยกวัย 56 ปี สามีผู้ตายมาทรมานใช้ถุงคลุมหัวให้ถอดเสื้อตากแอร์ขู่บังคับให้รับสารภาพว่า “เป็นคนร้ายลงมือฆ่าภรรยาตัวเอง” กลายเป็นแพะรับบาปเสมือนถูกผลักเข้าสู่ “แดนประหารโดยที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อ” นำตัวส่งเข้าเรือนจำรอการตัดสินคดีได้ราว 2 วัน

ปรากฏเบาะแสสำคัญจาก “กล้องวงจรปิดในคืนเกิดเหตุ” ที่ระบุเหตุการณ์กลุ่มคนทำร้ายป้ากบที่แท้จริงคือ “วัยรุ่น 5 คน อายุ 13-16 ปี และ 2 ใน 3 เป็นลูกตำรวจในพื้นที่” ทำให้ลุงเปี๊ยกหลุดพ้นจากความผิดเป็นฆาตกรแต่เป็น
เพียงแพะที่ถูกตำรวจจัดฉากขึ้นให้ต้องรับโทษนั้น

หลังคดีพลิกผลสอบเบื้องต้น “ตำรวจ 2 นายเข้าข่ายผิดวินัย” แล้วมี 1 นาย กระทำความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ม.157 “ส่งสำนวนให้ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิด” แต่ฐานความผิด พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565 “กลับมีข้อมูลไม่พอ” จนสังคมวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างหนัก

...

แม้ภายหลังความจริงจะถูกเปิดเผยออกมามากมายโดยเฉพาะคลิปเสียงสนทนา “กรณีตำรวจยอมรับลูกน้องใช้ถุงคลุมหัวลุงเปี๊ยกจริงแต่อ้างว่าล้อเล่น” ยิ่งกลายเป็นความเคลือบแคลงใจให้ผู้คนในสังคมขาดความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจนี้ อังคณา นีละไพจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน สหประชาชาติ บอกว่า

ความจริงถ้าดู ม.5 พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯระบุชัดเจ้าหน้าที่รัฐใดกระทำให้เกิดความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานแก่ร่างกาย หรือจิตใจให้ได้ข้อมูล หรือคำรับสารภาพ “ผู้นั้นทำผิดฐานทรมานในมาตรานี้” แล้ว ม.6 ยังระบุการกระทำที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรมให้ผู้อื่นถูกลดทอนคุณค่า หรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์

ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำการโหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นกัน เพราะหลักการทรมานนั้นไม่จำเป็นต้องมีร่องรอยบาดแผลตามร่างกายเสมอไป แต่บางครั้งการทรมานทำให้ผู้นั้นเกิดความหวาดกลัวโดยไม่ปรากฏบาดแผลให้เป็นหลักฐานก็เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้

อังคณา นีละไพจิตร
อังคณา นีละไพจิตร

เหตุนี้กรณี “ตำรวจบังคับลุงเปี๊ยกให้รับสารภาพเป็นคนร้าย” เข้าข่ายผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯชัดเจน “ตามหลักฐานคลิปเสียงตำรวจเอาถุงคลุมหัวอ้างหยอกเล่น” ที่เป็นหนึ่งในวิธีการซ้อมทรมานอันประเทศไทยยกให้เป็นการกระทำต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของบุคคลที่ตกเป็นผู้ต้องหาขั้นร้ายแรง

ลักษณะคล้ายกรณี “ผู้กำกับโจ้ใช้ถุงคลุมหัวผู้ต้องหาคดียาเสพติดจนเสียชีวิต” และแม้ว่าลุงเปี๊ยกจะไม่ถึงขั้นเสียชีวิตก็ตามแต่ พ.ร.บ.ฉบับนี้ได้ให้นิยามพฤติการณ์เพียงว่า “เมื่อกระทำการคุกคาม การกดดันให้เกิดทุกข์ทรมานแก่จิตใจเพื่อให้ได้ซึ่งคำรับสารภาพ” เท่านี้ก็เพียงพอต่อความผิดตาม ม.5 ม.6 ได้แล้ว

ปัจจัยส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า “ลุงเปี๊ยกติดสุราเรื้อรัง และเป็นคนไร้บ้าน” ถูกจัดอยู่ในกลุ่มผู้เปราะบางทางสังคมมากกว่าคนอื่น “เหตุนี้ทำให้ตำรวจจับกุมมาเพื่อบังคับให้รับสารภาพได้ง่ายหรือไม่” เพราะตามหลักแม้บุคคลนั้นจะเดินเข้ามารับสารภาพก็ตาม “ตำรวจ” ยังต้องลงพื้นที่หาพยานหลักฐานในที่เกิดเหตุให้แน่ชัด

ก่อนควบคุมตัวไว้สอบปากคำ “ตั้งข้อหา และส่งฟ้องคดี” แล้วในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนก็ต้องบันทึกภาพ-เสียงอย่างต่อเนื่องทั้งในขณะจับ และควบคุมตัวตาม ม.22 เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยไม่อาจกระทำได้ เพื่อเป็นการคุ้มครอง ทั้งผู้ถูกกล่าวหา และเจ้าหน้าที่รัฐจากการถูกร้องเรียนเท็จจะสามารถมีหลักฐานออกมาชี้แจงได้

...

ท้ายที่สุดก็กลับไม่ปรากฏ “การบันทึกภาพ-เสียงอย่างต่อเนื่อง” ในระหว่างการควบคุมตัวลุงเปี๊ยกแต่อย่างใด “พบเพียงข้ออ้างบันทึกภาพเป็นบางช่วงเท่านั้น” ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดตาม ม.22 หรือไม่

ถัดมา “การทรมาน-อุ้มหายเป็นอาชญากรรมพิเศษ” ความผิดต้องเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวกับการกระทำผิดนั้น หรือผู้อยู่ในเหตุการณ์แต่ไม่ห้าม ถ้ามีการทำผิดต้องส่งฟ้องต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบทุกกรณี แต่มีข้อสังเกตกระบวนการดำเนินคดีตำรวจ สภ.อรัญประเทศผู้ถูกกล่าวหากำลังเดินตามกฎหมายอาญาปกติ

ตั้งแต่การรวบรวมพยานหลักฐาน การส่งสำนวนคดีที่มีตำรวจเกี่ยวข้องกับความผิดม.157 ให้แก่ ป.ป.ช.เป็นผู้ไต่สวนพิจารณาชี้มูลความผิด แล้วที่ผ่านมาหลายคดีมักใช้เวลาแสวงหาข้อเท็จจริง และรวบรวมพยานหลักฐานหลายปีกว่าจะทำการไต่สวนมูลฟ้องความผิดส่งสำนวนฟ้องร้องต่อศาล

ไม่เท่านั้นบางกรณี “ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดทางวินัย” ก็ส่งเรื่องให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษทางวินัยตามกฎระเบียบของหน่วยงานนั้น และก็ยังหลายคดีที่มีมติให้ข้อกล่าวหาไม่เข้าข่ายความผิดทำให้คดีนั้นเป็นอันยุติ

ย้ำว่า “พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯเป็นกฎหมายพิเศษ” ความจริงกระบวนการตรวจสอบไม่จำเป็นต้องผ่าน ป.ป.ช. ถ้าเจ้าหน้าที่รัฐทำผิดต้องส่งสำนวนคดีต่อ “ศาลอาญาคดีทุจริตฯ” เป็นศาลที่มีเขตอำนาจเหนือคดีตาม ม.34 แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า “สตช.” กำลังดำเนินการไม่เป็นไปตามหลักของ พ.ร.บ.ฉบับนี้หรือไม่

...

ด้วยหลัก “การฟ้องร้องให้อำนาจ 4 หน่วยงาน” ทั้งสำนักงานอัยการ สตช. ฝ่ายปกครอง และ DSI เบื้องต้นถ้าหน่วยงานใดถูกร้องกรณีอุ้มหาย-ทรมานต้องยุติบทบาทให้หน่วยอื่นมาสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นตำรวจ สภ.อรัญประเทศตกเป็นผู้สงสัย “ทำการทรมานลุงเปี๊ยก” สตช.ต้องวางมือยุติการสอบสวนทุกกรณี

แล้วให้พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครอง หรือ DSI เป็นหน่วยที่เข้ามาดูแลคดีแทน เพราะถ้าพิจารณาหลักการทรมาน หรือการกระทำไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี กรณีตำรวจนำลุงเปี๊ยกมาสอบสวนในห้องเปิดแอร์ ถอดเสื้อ นำถุงมาคลุมหัวบังคับข่มขู่ให้รับสารภาพก็เป็นการทรมานแก่ใจรูปแบบไม่ปรากฏบาดแผล

อันเป็นเหตุ “ลดทอนคุณค่าหรือละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐานความเป็นมนุษย์” ดังนั้นพฤติการณ์การกระทำดังกล่าวเป็นการละเมิดสิทธิตามความผิด พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯที่ค่อนข้างชัดเจนได้แล้ว

“เรื่องนี้ถ้าอยากให้สมาร์ทตำรวจต้องถอยให้อัยการ ฝ่ายปกครอง DSI เข้ามาตรวจสอบ มิเช่นนั้นอาจถูกมองว่าทำงานไม่โปร่งใส หรือไม่ชอบมาพากลด้วยการกระทำของตำรวจบังคับให้ลุงเปี๊ยกยอมรับสารภาพค่อนข้างชัดเจน สุดท้ายอาจกลายเป็นประชาชนหมดความเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจตามมาได้” อังคณาว่า

จริงๆแล้วประเด็น “ถุงคลุมหัวลุงเปี๊ยก” สะท้อนให้เห็นการบังคับใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายที่หละหลวมไม่เป็นไปตามหลักสิทธิในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาของผู้ต้องหา และการปฏิบัติหน้าที่ที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนหลายประการ โดยเฉพาะไม่บันทึกภาพ-เสียงต่อเนื่องในระหว่างการควบคุมยังคงถูกปล่อยปละละเลย

ยิ่งกว่านั้นยังปรากฏ “ความเหลื่อมล้ำทางสังคม” จากกรณีลุงเปี๊ยกเป็นคนไร้บ้าน และป่วยเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง “จนถูกบังคับให้ต้องตกมาเป็นแพะ” เพราะอยู่ในสถานะไม่มีศักยภาพร้องขอความเป็นธรรมต่อหน่วยงานรัฐใดได้ ในเรื่องก็น่าเห็นใจ “กลุ่มเปาะบาง และคนไร้บ้าน” ที่ไม่มีญาติมาช่วยร้องขอความเป็นธรรมนี้

...

สุดท้ายนี้ต้องยอมรับตั้งแต่ “ประกาศใช้ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหาย พ.ศ.2565” ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐโดยเฉพาะ “ตำรวจ” ค่อนข้างตระหนักใช้ความระมัดระวังในการปฏิบัติต่อผู้ต้องหาอย่างมาก เพราะเมื่อมี พ.ร.บ.ฉบับนี้ออกมาการร้องเรียนเกี่ยวกับการทรมานผู้ต้องหาให้รับสารภาพน้อยลงอย่างมาก

สังเกตพื้นที่ 3 จชต.การร้องเรียนเจ้าหน้าที่ทำการทรมาน หรือการอุ้มหายแทบเป็นศูนย์สะท้อนให้เห็นว่ากฎหมายนี้เกิดผลประสิทธิภาพเป็นประโยชน์ต่อสังคมสูง จนมีกรณีลุงเปี๊ยกถูกตำรวจบังคับสารภาพฆ่าเมียตัวเองนี้

นี่เป็นคดีแรกนับแต่ “ประกาศ พ.ร.บ.ป้องกันการทรมาน-อุ้มหายฯ” กลายเป็นความท้าทายสำคัญให้ สตช.ต้องเลือกที่จะปกปิด หรือบังคับใช้กฎหมายนี้จริงจัง อันจะเป็นบรรทัดฐานในอนาคตต่อไป.

คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม