ลุงพล-ป้าแต๋น กลับบ้านที่ จ.สกลนคร เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญ มีเหล่าแฟนคลับและยูทูบเบอร์ต่างให้กำลังใจ ลุงพลยันต่อสู้คดีในชั้นอุทธรณ์ ส่วนโฆษกศาลยุติธรรมแจงอธิบดีผู้พิพากษา ภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหารมีความเห็นควรยกฟ้อง (เห็นแย้ง) องค์คณะศาลอุทธรณ์จะนำขึ้นมาประกอบพิจารณาคดี ย้ำสายงานบังคับ บัญชาไม่มีผลต่อการพิพากษาคดี ขณะที่ ผบ.ตร.ชื่นชมลูกน้องสางคดีมหากาพย์ สั่งทำเป็นโมเดลเพื่อนำไปฝึกนักสืบรุ่นใหม่
...
ภายหลังศาลจังหวัดมุกดาหารอ่านคำพิพากษาในคดีพนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” สองสามีภรรยาผู้เป็นป้าและลุงเขยของน้องชมพู่ เป็นจำเลยที่ 1-2 กรณีการเสียชีวิตของ “น้องชมพู่” จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายจำคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาปราศจากเหตุอันควรจำคุก 10 ปี รวมจำคุก 20 ปี ส่วนจำเลยที่ 2 ยกฟ้อง ต่อมาศาลให้ประกันตัวลุงพลในวงเงิน 5 แสนบาท พร้อมเตรียมยื่นอุทธรณ์ต่อไป
ความคืบหน้าช่วงเช้าวันที่ 21 ธ.ค. ที่บ้านจำปาดง ต.กุดเรือคำ อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร เป็นบ้านของนายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” เป็นที่ตั้งขององค์ปู่ปาริจิตนาคราชที่เคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูพานตามคำสั่งศาลมุกดาหาร ญาติและเหล่าแฟนคลับจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้กับลุงพลและป้าแต๋น และพิธีบวงสรวงปู่ปาริจิตนาคราชเพื่อความเป็นสิริมงคล มีเหล่ายูทูบเบอร์ตลอดจนเพื่อนบ้านมาร่วมงานอย่างคับคั่ง ลุงพลใส่ชุดผ้าครามสีครีม กางเกงยีนส์ ส่วนป้าแต๋นอยู่ในชุดลำลองเข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญผูกข้อมือ เหล่าแฟนคลับเข้าสวมกอดให้กำลังใจพร้อมมอบเงินจำนวนหนึ่ง
น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” เปิดเผยว่า ขอเป็นกำลังใจให้ลุงพลจะอยู่เคียงข้างตลอดไปตนจะไม่ร้องไห้อีกต่อไป เพราะเชื่อว่าลุงพลไม่ได้ทำน้องชมพู่ ส่วนลุงพลเผยว่า ตนไม่ได้ติดใจอะไร ช่วงศาลอ่านคำพิพากษา ตนและป้าแต๋นยืนหน้าบัลลังก์ 3 ชม. รู้สึกเหนื่อยมากคำตัดสินที่ออกมาก็น้อมรับ แต่จะสู้ในชั้นอุทธรณ์ต่อไป จากนั้นแฟนคลับและยูทูบเบอร์ร่วมร้อยคนต่างหลั่งน้ำตาแสดงความเสียใจ โผเข้ากอดให้กำลังใจ

ที่สำนักงานศาลยุติธรรม นายสรวิศ ลิมปรังษี โฆษกศาลยุติธรรม เปิดเผยกรณีศาลจังหวัดมุกดาหาร พิพากษาจำคุกนายไชย์พล วิภา หรือลุงพล 2 คดีรวม 20 ปี จำเลยคดีน้องชมพู่ ว่าจำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ตามขั้นตอนของกฎหมาย ส่วนที่อธิบดีผู้พิพากษาภาค 4 และผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหาร ตรวจสำนวนแล้วเห็นว่าควรยกฟ้อง (เห็นแย้ง) เนื่องจากพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยนั้น คำเห็นแย้งจะอยู่ในสำนวนท้ายคำพิพากษา เมื่อเวลาคดีขึ้นสู่ศาลชั้นอุทธรณ์องค์คณะศาลอุทธรณ์จะเห็นทั้งตัวคำพิพากษาของศาลจังหวัดมุกดาหาร (ศาลชั้นต้น) และความเห็นแย้ง องค์คณะศาลอุทธรณ์จะนำข้อมูลทั้งหมดในสำนวนทั้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นรวมทั้งความเห็นแย้งต่างๆ ที่คู่ความอุทธรณ์ขึ้นมาประกอบในการพิจารณาทำคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์ แต่คำเห็นแย้งดังกล่าวคงไม่ได้เป็นจุดเปลี่ยนคำพิพากษาชั้นอุทธรณ์โดยตรง เพราะตัวความเห็นหลักยังเป็นความเห็นขององค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดมุกดาหาร เพราะองค์คณะผู้พิพากษาสืบพยานเป็นผู้ที่เห็นข้อเท็จจริงในตอนที่พยานมาเบิกความ เห็นข้อเท็จจริงพยานหลักฐานต่างๆอย่างใกล้ชิด
...
นายสรวิศเผยอีกว่า ส่วนน้ำหนักความเห็นแย้งจะมีมากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับมุมมองขององค์คณะผู้พิพากษาชั้นอุทธรณ์ หากยังเห็นคล้อยไปตามเสียงข้างมากขององค์คณะผู้พิพากษา เป็นดุลพินิจของศาลในชั้นอุทธรณ์ที่จะต้องวิเคราะห์วินิจฉัยจากข้อเท็จจริงจากคำเบิกความที่รับฟังมา ทั้งพยานเบิกความมาจากพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ต่างๆ มาประกอบกัน และเห็นว่าตัวข้อเท็จจริงพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์กับคำเบิกความมีสอดคล้องกันเพียงพอเชื่อมั่นได้ว่า จำเลยน่าจะเป็นคนที่กระทำความผิด การบังคับบัญชาของผู้พิพากษาไม่เหมือนกับข้าราชการฝ่ายอื่น เพราะถึงแม้ว่าโดยสายของการบังคับบัญชาในองค์กร ผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะจะอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษา แต่การบังคับบัญชาไม่มีผลต่อการพิพากษาคดี เพราะหลักการพิพากษาคดีเป็นอิสระ ไม่ว่าจะเป็นอิสระจากการแทรกแซงภายนอกและภายในผู้พิพากษาสามารถใช้ดุลพินิจในการพิพากษาออกไปได้ โดยที่ไม่ได้เน้นผลของการบังคับบัญชา แต่ในฐานะที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาลเป็นผู้รับผิดชอบราชการในงานของศาลนั้น มีส่วนในการดูแลความเรียบร้อยของศาลอยู่แล้ว ดังนั้นหากมีอะไรที่เห็นส่วนตัวอาจจะแตกต่างไปจากองค์คณะผู้พิพากษาก็มีอำนาจตามกฎหมายตามรัฐธรรมนูญที่จะทำความเห็นไว้ในสำนวน

...
โฆษกศาลยุติธรรมเปิดเผยเพิ่มเติมว่า กรณีที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดมุกดาหารและอธิบดีผู้พิพากษาศาลภาค 4 มีความเห็นแย้งจะต้องไปนั่งบัลลังก์หรือไม่นั้น เป็นคนละกรณีกัน กรณีที่ไปนั่งในห้องพิจารณาถือเป็นคณะส่วนหนึ่งในการพิจารณาพิพากษาคดีนั้น ปกติแล้วคนที่จะพิจารณาพิพากษาคดีจะต้องเป็นองค์คณะที่พิจารณาคดีนั้นมาแต่ต้น หรือได้รับการแต่งตั้งเข้ามาแทนที่กรณีสุดวิสัย แต่อำนาจตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งเป็นอำนาจเพิ่มเติมที่รัฐธรรมนูญศาลยุติธรรมกำหนดมาให้ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล อธิบดีผู้พิพากษาศาล หรือประธานศาล แม้จะไม่ได้นั่งพิจารณาเองแต่ในฐานะที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูศาล สามารถตรวจสำนวนและทำความเห็นแย้งไว้ได้ หากเห็นว่าเป็นกรณีที่สมควรต้องทำความเห็นแย้งไว้ ทั้งนี้ องค์คณะผู้พิพากษาศาลจังหวัดปกติจะมี 2 คน และต้องเป็นคนละองค์คณะกับผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ที่จะมี 3 คน องค์คณะศาลอุทธรณ์จะเป็นผู้พิพากษาที่ทำงานในชั้นอุทธรณ์และได้รับการจ่ายสำนวน การมอบหมายจากประธานศาลอุทธรณ์
“ความเห็นแย้งของอธิบดีผู้พิพากษาศาลและผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมีความสงสัยตามสมควรจึงเห็นควรยกประโยชน์ให้จำเลยตรงนี้จะทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ประโยนช์หรือไม่ระบุว่า คงไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรง เพราะความเห็นแย้งชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นความเห็นแย้งของเสียงข้างมากในคดีนั้น ดังนั้นผลของคำพิพากษาตัวคำความเห็นแย้งตรงนี้ไม่ได้มีผลในการเปลี่ยนแปลงของคำพิพากษาโดยตรง เพียงแต่เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาในชั้นสูงขึ้นไป และเรื่องการยกประโยชน์แห่งความสงสัยเป็นเงื่อนไขปกติในกฎหมายซึ่งในคดีอาญาหลายคดีก็ต้องพิจารณาอยู่แล้วว่า พยานหลักฐานที่ฝ่ายโจทก์นำสืบมามีเหตุทำให้วิญญูชนทั่วไปเกิดความสงสัยได้หรือไม่ว่าตัวจำเลยหรือผู้ต้องหากระทำความผิดจริง ความเห็นแย้งของผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและอธิบดีผู้พิพากษาศาล เคยเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะและก่อนหน้านี้ในศาลใหญ่ๆ เคยมีเหตุการณ์คล้ายกันไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ” นายสรวิศกล่าว
...
ขณะที่ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. เปิดเผยถึงมาตรฐานการทำงานของพนักงานสอบสวน ในคดีการเสียชีวิตของน้องชมพู่ว่า ต้องขอชื่นชมเจ้าหน้าที่และรู้สึกพอใจผลการปฏิบัติงานในคดีนี้ คดีดังกล่าวเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข อดีต ผบ.ตร. เป็นการทำงานที่ยากมาก เนื่องจากคดีนี้ไม่มีพยานหลักฐานในอากาศ ไม่มีประจักษ์พยานใดๆ แต่เจ้าหน้าที่โดยเฉพาะฝ่ายสืบสวนพยายามสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด โดยเฉพาะหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์คือ เส้นผมของน้องชมพู่ที่ถูกตัดและพยานบุคคลที่ให้การมาตั้งแต่ต้น และไม่เคยกลับคำให้การเลย ถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้สำนวนมีความแน่นหนาในระดับหนึ่ง จนทำให้ศาลเชื่อและมีคำพิพากษาดังกล่าวได้ ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาโต้แย้งว่า ไม่ได้รับความชอบธรรมในการเข้าตรวจค้นรถของตนเองนั้น เป็นสิทธิ์ที่ผู้ต้องหาสามารถทำได้ แต่เจ้าหน้าที่จะดำเนินการไปตามพยานหลักฐาน และการที่ศาลยกฟ้องนั้นเนื่องจากมีเหตุอันควรสงสัยจึงยกประโยชน์ให้จำเลย แต่หากมีพยานหลักฐานอื่นๆ สามารถเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์
“เตรียมยกคดีของลุงพลนี้เป็นโมเดลในการปรับปรุงพัฒนางานสืบสวนในอนาคต ทั้งการวิเคราะห์พฤติกรรมศาสตร์ของคนร้าย และการสืบสวนแบบดั้งเดิม (back to basic) แจ้งกับที่ประชุมของกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจ นครบาล แล้วว่า กำชับฝึกนักสืบรุ่นใหม่ๆ ให้สามารถสืบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งประจักษ์พยานและพยานแวดล้อมด้วยวิธีแบบดั้งเดิม ยกระดับให้มีความเป็นสากลและมืออาชีพมากขึ้น” พล.ต.อ.ต่อศักดิ์กล่าว
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่