“ประยุทธ์” สั่ง “กอบศักดิ์” ขับเคลื่อนปฏิรูปสู่การปฏิบัติแบบเห็นผลเป็นรูปธรรม เลือก 30 เรื่องที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนมาทำก่อน เริ่มจากการแก้ปัญหาแป๊ะเจี๊ยะให้หมดประเทศ หาแนวทางให้เด็กเลิกเรียนกวดวิชา ให้คนแจ้งความได้ทุกท้องที่ จัดให้มีทนายบนโรงพักไว้ช่วยเหลือประชาชน ปลูกต้นไม้มีค่าในบ้านตัดได้ไม่ผิดกฎหมาย
นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า พล.อ.ประยุทธ์ได้สั่งการให้ตนเองในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นคณะกรรมการชุดใหม่ที่นายกฯลงนามแต่งตั้งเมื่อวันที่ 17 เม.ย.เพื่อให้นำแผนการปฏิรูปประเทศไปสู่การปฏิบัติให้ได้ ไปเร่งดำเนินโครงการที่ตอบสนองความต้องการของประชาชนและสามารถทำได้ทันที (Quick Win) ประมาณ 30 เรื่อง
“นายกฯสั่งการว่าการดำเนินโครงการควิกวิน อย่าไปคิดเอาเอง ให้ดูและเลือกเรื่องที่ประชาชนอยากได้และมีความสนใจ เช่น เรื่องการศึกษา ให้แก้ ปัญหาการจ่ายแป๊ะเจี๊ยะเพื่อเข้าโรงเรียนให้หมด ไปจากประเทศไทย หรือทำอย่างไรให้เด็กไม่ต้องเข้าเรียนกวดวิชา หรือเรื่องการปฏิรูปตำรวจ อย่าไป มองเรื่องการโยกย้ายหรือการให้สวัสดิการ แต่ให้ดูว่าจะให้ประชาชนแจ้งความทุกท้องที่ได้อย่างไร และให้มีทนายในสถานีตำรวจเพื่อช่วยเหลือประชาชน รวมไปถึงการใช้เลขหมายด่วน 191 เพียงเบอร์เดียว และการจัดทำเว็บไซต์หางาน ที่แตกต่างจากเว็บไซต์ปกติ เพราะจะมีข้อมูลระบุชัดเลยว่าเรียนจบสาขาใด เมื่อทำงานจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ เพื่อให้ประชาชนจะได้วางแผนล่วงหน้าได้ และยังรวมถึงการให้ปลูกต้นไม้มีค่าในบ้าน และตัดได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ซึ่งผมจะพยายามทำให้ได้เดือนละ 6-10 เรื่อง และเพิ่มเรื่องใหม่ เข้ามาอีกเรื่อยๆ” นายกอบศักดิ์กล่าว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า จะเรียกประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนการปฏิรูปในสัปดาห์หน้าทันที ซึ่งการที่นายกฯเซ็นคำสั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการชุดนี้ขึ้นมา เพราะห่วงว่าการปฏิรูปจะ ล่าช้าและไม่เกิดผลแท้จริง เนื่องจากมีเรื่องต้องปฏิรูปนับพันเรื่อง โดยคณะกรรมการชุดนี้มีขนาดเล็กแค่ 15 คน จะมีหน้าที่ติดตามและทวงถามเรื่องที่ต้องเร่งปฏิรูปแทนนายกรัฐมนตรี จะแตกต่างจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ผ่านมาที่เป็นคณะใหญ่
ขณะเดียวกัน นายกฯยังสั่งการให้เร่งปรับแก้ กฎหมายหรือตรากฎหมายใหม่เพื่ออำนวยความสะดวก แก่ประชาชน ประมาณ 80 ฉบับ และให้เร่งโครงการสำคัญตามแผนการปฏิรูปประเทศ เรียกว่าเป็นเรือธง หรือ Flagship ประมาณ 110 เรื่อง ซึ่งจะต่างจาก โครงการควิกวินตรงที่โครงการที่เป็นเรือธงอาจเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน หรือเป็นเรื่องของการ ปฏิรูปเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเลย เช่น ที่นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ต้อง การปฏิรูปกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาใหม่ หรือเรื่องการบริหารจัดการน้ำของประเทศ
ขณะที่การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาตินั้นที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้าของร่างยุทธศาสตร์ชาติ 6 ด้าน โดยจากนี้จะจัดทำออกมาเป็นแผนแม่บทในเรื่องต่างๆ เพื่อให้ทุกหน่วยงานนำโครงการภายใต้แผนแม่บทไปปฏิบัติตาม ซึ่งหน่วยงานใดไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต ตามมาตรา 157 เพื่อป้องกันไม่ให้ เกิดปัญหาเหมือนในอดีต เช่น กรณีที่บางโครงการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐอย่างโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า เมื่อจัดทำมาเสร็จสิ้นในรัฐบาลหนึ่งแล้ว แต่รัฐบาลต่อไปไม่ได้สานต่อโครงการหรือยกเลิกโครงการไป ทำให้การทำงานไม่ต่อเนื่องและไม่เกิดการพัฒนาประเทศในระยะยาว
“นายกรัฐมนตรีได้ขอให้การทำงานต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วม โดยเฉพาะโครงการที่มาจากความต้องการของประชาชนจริงๆ ทางคณะกรรมการขับเคลื่อนต้องไปเร่งทำให้ชัดเจนว่ามีโครงการอะไรบ้าง ซึ่งงานในด้านปฏิรูปจะถูกทำออกมาเป็นแผนปฏิบัติการ เช่นเดียวกับแผนยุทธศาสตร์ชาติจะต้องทำออกมาเป็นแผนแม่บท และตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ จากนี้ทางสำนักงานคณะกรรมการพัฒนา การเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. จะไปทำรายละเอียดเพิ่มเติม ก่อนเสนอให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบในวันที่ 9 พ.ค.2561 จากนั้นจึงเสนอเข้าสภานิติบัญญัติแห่งชาติในวันที่ 8 มิ.ย. 2561 ก่อนจะประกาศใช้ตามกฎหมายในเดือน ก.ค.2561”.