บริษัท ฮอนด้า บริษัทผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นขนาดใหญ่ที่อยู่คู่กับประเทศไทยมานาน จนถึงปัจจุบัน สงครามเศรษฐกิจ ทำให้ ฮอนด้า ประกาศปรับแผนธุรกิจ เลิกการผลิตรถยนต์ที่โรงงานผลิตในนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ ยอมรับว่าเป็นผลพวงมาจากเศรษฐกิจ และการแข่งขันในตลาดรถยนต์ที่สูงขึ้น

โดยเฉพาะรถ EV ที่ฮอนด้ายอมรับว่าจะเร่งเปลี่ยนผ่านการผลิตไปสู่รถ EV หรือการนำรถพลังงานไฟฟ้ามาใช้อย่างต่อเนื่อง อย่างที่ทราบว่ารถ EV จากจีน มีการทุ่มตลาดอย่างหนัก รถยนต์ยุโรป ญี่ปุ่น แทบจะตั้งรับไม่ทัน จากฐานการผลิตรถยนต์ก็จะมาพัฒนาเป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน และพยายามรักษาให้ไทยเป็นศูนย์ส่งออกไปทั่วโลก เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย

ตอนนี้ ฮอนด้าไปตั้งโรงงานผลิตรถ EV ที่ปราจีนบุรีแทน ด้วยกำลังการผลิต 120,000 คันต่อปี ก่อนหน้านี้รถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น 2 ค่าย ประกาศหยุดการผลิตรถยนต์ในไทย คือ ซูบารุ ที่มีผลในปลายปีนี้ และซูซูกิมีผลปลายปี 2568 ทั้งนี้สมาคมกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรม ยังประเมินว่า บริษัทยักษ์ใหญ่รถยนต์ของญี่ปุ่นคงไม่ล้มง่ายๆ อย่างไรก็ตามสภาพเศรษฐกิจทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็น จีน สหรัฐฯ ที่มียอดขายขึ้นๆลงๆตามเศรษฐกิจโลก ไม่ต่างกัน เคยขายได้ 17 ล้านคัน เหลือ 9 ล้านคัน น่าใจหาย

ในขณะที่ กรมสรรพสามิต คาดว่าในปีนี้จะมีการผลิตรถยนต์ EV ในบ้านเราประมาณ 8-9 หมื่นคัน เป็นไปตามเงื่อนไขของมาตรการการสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าระยะแรก ซึ่งมีการลดอัตราภาษีรถ EV จากร้อยละ 8 เหลือร้อยละ 2 และรัฐจ่ายเงินอุดหนุนให้ค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการสูงสุดคันละ 150,000 บาท มีเงื่อนไขว่าจะต้องผลิต EV ใน ประเทศ ตามจำนวนรถนำเข้าในปี 2565-2566 ภายในปีนี้ในอัตรา 1 ต่อ 1 และปี 2568 ในอัตรา 1 ต่อ 1.5

...

เงื่อนไขดังกล่าวมีการมองในแง่ลบและบวก โดยเฉพาะการจะเกิด โอเวอร์ซัพพลายในประเทศ จากปัญหาเศรษฐกิจที่ถดถอย นำไปสู่ ความไม่สมดุลของตลาดที่ กำลังซื้อลดลง ทีนี้ว้าวุ่นเลยเพราะมีค่ายรถยนต์ EV ที่จะเข้ามาลงทุนผ่านบีโอไออีก 7-8 ราย ในขณะที่กำลังซื้อไม่ค่อยกระเตื้อง มีผลจะต้องชะลอการลงทุนไปด้วย

สภาพเศรษฐกิจที่ถดถอยอย่างต่อเนื่อง ถ้าภาครัฐยังไม่มีโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชัดเจน การปิดโรงงาน การลดจำนวนแรงงานยังมีต่อเนื่อง การดำรงชีวิตของประชาชนที่มีภาระหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น เช่น ค่าไฟงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.จะต้องเพิ่มขึ้น ในระดับถูกสุด 4.65 บาทต่อหน่วย ไปจนถึงแพงสุด 6.01 บาทต่อหน่วยที่ กกพ.จะเคาะราคากันในวันสองวันนี้ เนื่องจาก กฟผ.มีความจำเป็นที่จะต้องทยอยคืนหนี้ค่าเชื้อเพลิง ที่สะสมอยู่เกือบ 1 แสนล้านบาท

ราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลในประเทศ ที่จะต้องขึ้นราคาตามราคาน้ำมันในตลาดโลก ไปแตะที่ลิตรละ 34 บาท ทุกอย่างเป็นราคาที่ต้องจ่ายสำหรับภาคประชาชน

ผลกระทบที่เป็นลูกโซ่จากบนลงล่างและจากล่างขึ้นบน มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น เพราะฉะนั้นการแก้ปัญหาในระดับมหภาค ไม่ได้ขึ้นอยู่กับโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หรือการลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่ง ปากท้องชาวบ้านก็สำคัญ กำลังซื้อไม่มี กำลังการผลิตล้นความต้องการก็เป็นเรื่องใหญ่

ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม