พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช 2562 ในพระราชพิธีเบื้องปลาย เป็นการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ตั้งแต่บริเวณท่าวาสุกรีจนถึงท่าราชวรดิฐ ระยะทาง 3.5 กม. ใช้เวลาประมาณ 1.15 ชั่วโมง ในวันที่ 12 ธ.ค. 2562 เวลา 15.30 น. โดยจัดรูปขบวนเรือพระราชพิธีทั้งหมด 52 ลำ ใช้กําลังพลประจําเรือพระราชพิธีทั้งสิ้น 2,200 นาย จากการคัดเลือกกําลังพลจากหน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือ

การเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร นอกจากมี “เรือพระที่นั่ง” ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุดในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค เพราะเป็นเรือที่ประทับของพระมหากษัตริย์ และพระบรมวงศานุวงศ์ จำนวน 4 ลำ ได้แก่ เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช และเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ยังมีเรืออื่นๆ ทั้งสิ้น 48 ลำ ซึ่งเรียกว่า “เรือเหล่าแสนยากร” ประกอบในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค มีลักษณะและหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้

เรือดั้งลำที่ 7 กับ 10 และ เรืออสุรวายุภักษ์
เรือดั้งลำที่ 7 กับ 10 และ เรืออสุรวายุภักษ์

...

1. เรือดั้ง จำนวน 22 ลำ เป็นเรือทาน้ำมันหัวท้ายงอน เฉพาะหัวเรือจะงอนเชิดสูงกว่าทางด้านท้ายเรือเล็กน้อย เป็นเรือกันนำอยู่หน้าขบวนเรือ คำว่า ดั้ง หมายถึง หน้า เรือดั้ง จึงหมายถึง เรือที่อยู่หน้าขบวนในขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ทำหน้าที่คุ้มกันเรือสายใน เป็นเรือไม้ ทาสีน้ำมัน ไม่มีลวดลาย ยกเว้นเรือดั้ง 21 และเรือดั้ง 22 ที่ทาสีทอง มีชื่อเรียกตามลำดับ ตั้งแต่เรือดั้ง 1 ถึงเรือดั้ง 22

2. เรือประตู จำนวน 2 ลำ ได้แก่ “เรือทองขวานฟ้า” และ “เรือทองบ้าบิ่น” เป็นเรือประตูหน้า มีลักษณะเป็นเรือกราบ ทาน้ำมันยอดดั้งปิดทองแกะสลักลวดลาย ทำหน้าที่เป็นเรือนำขบวนเรือพระราชพิธีทั้งหมด

“เรือเอกชัยเหินหาว” และ “เรือเอกชัยหลาวทอง”
“เรือเอกชัยเหินหาว” และ “เรือเอกชัยหลาวทอง”

3. เรือคู่ชัก จำนวน 2 ลำ ได้แก่ “เรือเอกชัยเหินหาว” และ “เรือเอกชัยหลาวทอง” ใช้ชักลากจูงเรือพระที่นั่ง เป็นเรือพระที่นั่งเอกชัยในลำดับชั้นของเรือพระที่นั่งที่มีศักดิ์เสมอเกือบเทียบเท่าเรือพระที่นั่งกิ่ง เรือทั้งสองลำสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 1 โขนเรือเขียนลายปิดทองรดน้ำเป็นรูปเหรา ซึ่งเป็นสัตว์ในตำนาน ลักษณะคล้ายมังกรแต่มีหัวเป็นงูหรือนาค หัวเรือเป็นรูปดั้งเชิดสูงประมาณ 2 เมตร ปลายสุดเป็นกนกเปลว เรือทั้งสองลำมีข้อแตกต่างกันอยู่บ้าง โดยสังเกตได้จากดวงตาและเบ้าปากฉัตร โดยเรือเอกชัยเหินหาวจะมีดวงตาสีทอง ขดเป็นวง ส่วนเรือเอกชัยหลาวทอง ดวงตาสีดำ และไม่มีเบ้าปากฉัตร

4. เรือรูปสัตว์ จำนวน 8 ลำ เป็นเรือที่แกะสลักหัวเรือเป็นรูปสัตว์ต่างๆ ทั้งสัตว์จริงและสัตว์ในเทพนิยาย เป็นเรือเหล่าแสนยากรประเภทเรือพิฆาต ดังนั้นหัวเรือรูปสัตว์ทุกลำจะมีรูกลมสำหรับติดตั้งปืนใหญ่จำลอง ภายในมีการติดตั้งครึประดับอาวุธโบราณ ได้แก่ เขน โล่ ดาบ หอก บริเวณทั้งสองด้านของครึ เรือรูปสัตว์ทั้ง 8 ลำ แบ่งเป็น 4 คู่ ประกอบด้วย 

เรืออสุรวายุภักษ์
เรืออสุรวายุภักษ์

...

• เรืออสุรวายุภักษ์ และ เรืออสุรปักษี ทั้งสองลำนี้สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 1 และได้ทำการบูรณะในรัชกาลที่ 4 โดยชื่อเรืออสุรวายุภักษ์ แปลว่า อสูรผู้มีลมเป็นอาหาร ส่วนเรืออสุรปักษี แปลว่า อสูรผู้เป็นนก โขนเรือทั้งสองลำมีลักษณะคล้ายคลึงกัน คือ ร่างกายเป็นนก มีหัวและหน้าตาเป็นยักษ์ เรืออสุรวายุภักษ์ และ เรืออสุรปักษี มีลักษณะโดยรวมเหมือนกัน ต่างที่สีโขนเรือ คือ สีโขนเรืออสุรวายุภักษ์เป็นสีน้ำเงิน ส่วนสีโขนเรืออสุรปักษีเป็นสีเขียว

เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เป็นรูปวานร (ลิง) ร่างกายสีขาว
เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เป็นรูปวานร (ลิง) ร่างกายสีขาว

• เรือกระบี่ปราบเมืองมาร และเรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เรือทั้งสองลำสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 1 แต่ปรากฏชื่อเรือชัดเจนในเอกสารสมัยรัชกาลที่ 4 และในสมัย พุทธศักราช 2508 ได้ทำการบูรณะเพราะได้รับความเสียหายจากแรงระเบิดอากาศยานที่ถล่มกรุงเทพมหานครเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่สอง ชื่อเรือทั้งสองลำสะท้อนความรับรู้ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ และโขนเรือทั้งสองลำในมือซ้ายและขวาถึงธงสามชายเล็ก มีความแตกต่างกัน คือ เรือกระบี่ปราบเมืองมาร เป็นรูปวานร (ลิง) ร่างกายสีขาว ส่วน เรือกระบี่ราญรอนราพณ์ เป็นรูปวานร (ลิง) ร่างกายสีดำ

...

เรือพาลีรั้งทวีป
เรือพาลีรั้งทวีป

• เรือพาลีรั้งทวีป และเรือสุครีพครองเมือง สร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 1 เรือพาลีรั้งทวีป โขนเรือจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ประดับกระจกเป็นรูปพญาวานรหรือลิง สวมมงกุฎ ร่างกายสีเขียว ตัวละครตัวหนึ่งในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ ส่วนเรือสุครีพครองเมือง โขนเรือจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ประดับกระจกเป็นรูปพญาวานรกายสีแดง โขนเรือทั้งสองลำในมือซ้ายและขวาถือธงสามชายเล็ก

...

• เรือครุฑเหินเห็จ และเรือครุฑเตร็ดไตรจักร ทั้งสองลำสร้างขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 1 และมีการบูรณะใหม่โดยใช้หัวเรือเดิมมาประกอบใน พ.ศ. 2508 เนื่องจากได้รับความเสียหายอย่างมากจากแรงระเบิดเมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือครุฑเหินเห็จ โขนเรือจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ประดับกระจก เป็นรูปพญามงคลสุบรรณ กายสีแดง ยุดนาคีสี่ตัว ประกอบด้วยที่มือสองตัวและเท้าสองตัว เกี่ยวตวัดพันรอบข้อมือและข้อเท้า ส่วนเรือครุฑเตร็ดไตรจักร โขนเรือจำหลักไม้ลงรักปิดทอง ประดับกระจก เป็นรูปพญามงคลสุบรรณ กายสีชมพู ยุทธนาคีสี่ตัวเช่นเดียวกัน

 “เรือเสือทะยานชล”
“เรือเสือทะยานชล”

5. เรือพิฆาต จำนวน 2 ลำ ได้แก่ “เรือเสือทะยานชล” และ “เรือเสือคำรณสินธุ์” มีหน้าที่คอยเก็บซากสัตว์ที่ลอยน้ำมาไม่ให้ผ่านล่วงเข้าไปในขบวน เรือทั้งสองลำดัดแปลงมาจากเรือรบที่ใช้ในการศึกสงคราม ดังนั้นจึงมีการเขียนลวดลายหัวเรือเป็นรูปหัวเสือไว้ที่หัวเรือ และมีช่องที่มีปืนใหญ่ยื่นออกมา

เรือเสือทะยานชล และเรืออีเหลือง
เรือเสือทะยานชล และเรืออีเหลือง

6. เรือกลอง จำนวน 2 ลำ ได้แก่ “เรืออีเหลือง” คือเรือกราบใช้เป็นเรือกลองนอก อยู่หน้าสุดของริ้วสายกลาง เป็นเรือสำหรับรองผู้บัญชาการขบวนเรือพระราชพิธี และ “เรือแตงโม” เป็นเรือกองในอยู่ในบริเวณกลางขบวนหน้าเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เป็นเรือสำหรับผู้บัญชาการขบวนเรือพระราชพิธี

7. เรือแซง จำนวน 7 ลำ เป็นเรือขนาดเล็ก แล่นเร็ว จึงทำหน้าที่เป็นเรืออารักขาพระมหากษัตริย์ มีชื่อเรียกตามลำดับตั้งแต่เรือแซง 1 ถึง เรือแซง 7

8. เรือตำรวจ จำนวน 3 ลำ เป็นเรือกราบ ทำหน้าที่คุ้มกันขบวนเรือพระที่นั่ง

ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคแบ่งเป็น 5 ริ้ว 3 สาย “เรือเหล่าแสนยากร” ทั้งสิ้น 48 ลำจะอยู่ในจุดต่างๆ ดังนี้

ริ้วสายกลาง เป็นเรือสายสำคัญ ประกอบด้วยเรือพระที่นั่ง 4 ลำ มีเรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์ เรือพระที่นั่งอนันตนาคราช เรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ 9 และเรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์ นอกจากนี้มีเรืออีเหลือง เป็นเรือกลองนอก เรือแตงโม ซึ่งเป็นเรือของผู้บัญชาการขบวนเรือ เป็นเรือกลองใน พร้อมด้วยเรือตำรวจนอก และเรือตำรวจใน

เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์
เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์

• ริ้วสายใน ขนาบข้างสายเรือพระที่นั่ง มีเรือทองขวานฟ้าและเรือทองบ้าบิ่น เป็นเรือประตูหน้า เรือเสือทะยานชล และเรือเสือคำรณสินธุ์ เป็นเรือพิฆาต เรือรูปสัตว์ 8 ลำ และปิดท้ายสายในด้วยเรือเอกชัยเหินหาว และเรือเอกชัยหลาวทอง ซึ่งเป็นเรือคู่ชัก 

• ริ้วสายนอก ประกอบด้วยเรือดั้ง และเรือแซง สายละ 14 ลำ

เรือดั้ง ลำที่ 7 ซึ่งมีทั้งหมด 22 ลำ
เรือดั้ง ลำที่ 7 ซึ่งมีทั้งหมด 22 ลำ

"เรือเหล่าแสนยากร" ทั้ง 48 ลำ แสดงแสนยานุภาพอันยิ่งใหญ่ของกองทัพ และมีคุณค่าทางศิลปวัฒนธรรม เป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยทั้งชาติ