
บริษัทในสหรัฐฯ ปลดพนักงานกว่า 1.17 ล้านตำแหน่งในปีนี้ สูงสุดนับตั้งแต่ปี 2020
ตลาดแรงงานอเมริกากำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของโลกการทำงานในยุคปัญญาประดิษฐ์ เมื่อบริษัทขนาดใหญ่ทั่วสหรัฐประกาศลดพนักงานมากกว่า 1.17 ล้านตำแหน่งในปีนี้ ตัวเลขที่สูงที่สุดนับตั้งแต่ช่วงวิกฤตโควิด-19 ในปี 2020 ที่มีการปลดพนักงานถึง 2.2 ล้านตำแหน่ง
สิ่งที่น่าสนใจและน่ากังวลพอๆ กันคือ AI ถูกอ้างว่าเป็นสาเหตุของการตกงานเกือบ 55,000 ตำแหน่ง ตามข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Challenger, Gray & Christmas ซึ่งหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า AI เป็นตัวการจริง หรือเป็นแค่ข้ออ้างที่ดูดีกว่าของบริษัทที่ต้องการลดต้นทุน
เฉพาะเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีการประกาศปลดพนักงานกว่า 153,000 คน ตามมาด้วยอีก 71,000 คนในเดือนพฤศจิกายน โดยอย่างน้อย 6,000 ตำแหน่งถูกระบุชัดเจนว่าเชื่อมโยงโดยตรงกับการนำ AI เข้ามาแทนที่แรงงานมนุษย์
งานวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) ที่เผยแพร่เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่า AI สามารถทำงานแทนแรงงานมนุษย์ได้แล้วถึง 11.7% ของตลาดแรงงานทั้งหมดในสหรัฐ และอาจช่วยให้บริษัทต่างๆ ประหยัดค่าจ้างรวมสูงถึง 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยเฉพาะในสามภาคหลักคือ ภาคการเงิน สาธารณสุข และบริการวิชาชีพ
ท่ามกลางกระแสการโทษ AI นักวิชาการบางส่วนกลับเริ่มตั้งคำถามถึงความจริงที่แท้จริงเบื้องหลังการปลดพนักงานระลอกนี้
ฟาเบียน สเตฟานี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้าน AI และการทำงานจาก Oxford Internet Institute มองว่า หลายบริษัทจ้างงานเกินความจำเป็นอย่างมากในช่วงโควิด เมื่อเศรษฐกิจโตเร็วและมีเงินทุนราคาถูก และการปลดพนักงานในตอนนี้อาจเป็นเพียงการปรับสมดุลตลาดแรงงานให้กลับมาสู่ระดับปกติ
"แทนที่จะยอมรับตรงๆ ว่าบริษัทคำนวณผิดพลาดและจ้างคนมากเกินไปเมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว การโทษ AI กลับกลายเป็นข้ออ้างที่ฟังดูทันสมัยและน่าเชื่อถือกว่า" สเตฟานีให้ความเห็น
การมองในมุมนี้ทำให้เราเห็นว่า AI อาจไม่ใช่ตัวการหลักอย่างที่คิด แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่บริษัทใช้เป็นข้อแก้ตัวสำหรับการตัดสินใจที่ยากลำบาก ท่ามกลางแรงกดดันจากเงินเฟ้อ ต้นทุนที่พุ่งสูงจากมาตรการภาษีใหม่ และความจำเป็นในการลดค่าใช้จ่ายเพื่อรักษากำไร
อเมซอนสร้างความตกตะลึงให้ตลาดแรงงานเมื่อประกาศปลดพนักงานสายองค์กรถึง 14,000 ตำแหน่งในเดือนตุลาคม ถือเป็นการปลดพนักงานครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท
โดยบริษัทให้เหตุผลอย่างชัดเจนว่า ต้องโยกย้ายทรัพยากรไปสู่ "การเดิมพันครั้งใหญ่" ในเทคโนโลยี AI และยอมรับตรงไปตรงมาว่า AI จะทำให้บริษัทต้องใช้คน "น้อยลงในบางงาน และมากขึ้นในงานรูปแบบใหม่"
ไมโครซอฟท์ปลดพนักงานรวมประมาณ 15,000 ตำแหน่งในปี 2025 โดยรอบล่าสุดเมื่อเดือนกรกฎาคมลดไปถึง 9,000 ตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นหนึ่งในการปรับโครงสร้างที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท
โดยเหตุผลคือ บริษัทต้อง "นิยามภารกิจใหม่" ในยุคที่ AI กลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง โดยเปลี่ยนจากการเป็นผู้ผลิตซอฟต์แวร์ธรรมดาไปสู่การเป็น "เครื่องจักรแห่งปัญญา" ที่สร้างโซลูชัน AI ให้กับองค์กรทั่วโลก
Salesforce ยืนยันตัวเลขว่า บริษัทลดพนักงานฝ่ายบริการลูกค้าไปแล้ว 4,000 คน ด้วยความช่วยเหลือของ AI และที่น่าสนใจ AI สามารถทำงานแทนได้แล้วถึง 50% ของงานภายในบริษัท
สำหรับ IBM เผยว่า AI แชตบอตเข้ามาแทนที่งานในฝ่ายทรัพยากรบุคคลหลายร้อยตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นการตอบคำถามพนักงาน การจัดการเอกสาร หรือแม้แต่กระบวนการสรรหาพนักงานใหม่
อย่างไรก็ตาม IBM ยังคงเพิ่มการจ้างงานในสายงานที่ต้องการทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ระดับสูง เช่น วิศวกรรมซอฟต์แวร์ การขาย และการตลาด แสดงให้เห็นว่าบริษัทไม่ได้ลดคนทั้งหมด แต่เลือกลดเฉพาะงานที่ AI ทำได้
ล่าสุด IBM ประกาศลดพนักงานทั่วโลก 1% หรือประมาณ 3,000 คน เพื่อปรับโครงสร้างให้เหมาะสมกับยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทมากขึ้น
แม้แต่บริษัทรักษาความปลอดภัยไซเบอร์อย่าง CrowdStrike ก็ไม่รอด เมื่อประกาศปลดพนักงาน 5% ขององค์กร หรือประมาณ 500 คน โดยระบุอย่างชัดเจนว่า AI ช่วยลดความจำเป็นในการจ้างงาน และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในทุกส่วนของธุรกิจ
สิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือ Workday ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม HR ที่ช่วยบริษัทต่างๆ จัดการพนักงาน กลับกลายเป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ประกาศปลดพนักงานในปีนี้ โดยลด 8.5% หรือราว 1,750 ตำแหน่ง เพื่อโยกทรัพยากรไปลงทุนด้าน AI มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางเงินเฟ้อที่ยังคงกดดัน ต้นทุนการดำเนินงานที่พุ่งสูงขึ้นจากมาตรการภาษีใหม่ และแรงกดดันในการรักษากำไรจากนักลงทุน AI จึงถูกมองว่าเป็น "ทางออกระยะสั้น" ที่ดูน่าสนใจสำหรับองค์กรจำนวนมาก
แต่คำถามใหญ่ที่ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนคือ การเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลระยะยาวต่อตลาดแรงงานและสังคมโดยรวมอย่างไร AI กำลังสร้างงานใหม่ขึ้นมาจริงหรือไม่ หรือแค่ทำลายงานเดิมเร็วกว่าที่จะสร้างงานใหม่ได้
สำหรับพนักงานในยุคนี้ การเตรียมตัวไม่ได้หมายถึงการกลัว AI แต่คือการเรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับ AI พัฒนาทักษะที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ เช่น ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหาที่ซับซ้อน การมีมนุษยสัมพันธ์ และความสามารถในการปรับตัว
เพราะสิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ โลกการทำงานกำลังเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล และผู้ที่จะอยู่รอดได้คือผู้ที่เปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับมัน
อ้างอิง CNBC