
TikTok ตกลงขายกิจการในสหรัฐฯ ให้กลุ่มนักลงทุน นำโดย Oracle, Silver Lake และ MGX
TikTok ได้ลงนามในข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายกับกลุ่มนักลงทุน ซึ่งรวมถึง Oracle, Silver Lake และ MGX เพื่อขายกิจการ TikTok ในสหรัฐอเมริกา และจัดตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นใหม่ภายใต้ข้อตกลงที่มี ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้ผลักดันหลัก
หลังเผชิญแรงกดดันทางการเมืองและข้อกล่าวหาด้านความมั่นคงแห่งชาติยาวนานกว่า 1 ปี ในที่สุดอนาคตของ TikTok ในสหรัฐอเมริกาก็เริ่มเห็นจุดจบที่ชัดเจน เมื่อบริษัทลงนามข้อตกลงผูกพันทางกฎหมายกับกลุ่มนักลงทุนสหรัฐฯ และตะวันออกกลาง เพื่อแยกกิจการออกจากบริษัทแม่จีน ByteDance พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่อย่างเป็นทางการ
ดีลนี้ถือเป็นบทสรุปของการต่อรองที่ยืดเยื้อ ตั้งแต่สภาคองเกรสสหรัฐฯ ผ่านกฎหมายบังคับให้ ByteDance ต้องขายหรือแยกกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2024 จากความกังวลด้านข้อมูลและความมั่นคงไปจนถึงการเจรจาข้ามรัฐบาลระหว่างวอชิงตันและรัฐบาลปักกิ่งที่เต็มไปด้วยแรงต้านจากทั้งสองฝั่ง
Shou Zi Chew ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TikTok เปิดเผยกับพนักงานผ่านบันทึกภายใน ระบุว่า TikTok ได้ลงนามข้อตกลงกับนักลงทุนหลัก ได้แก่ Oracle กองทุนไพรเวตอิควิตี้ Silver Lake และกองทุน MGX จากอาบูดาบีเพื่อขายกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ พร้อมทั้งจัดตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ ซึ่งคาดว่าดีลจะเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 22 มกราคม 2026
ภายใต้โครงสร้างดังกล่าว
ความไม่แน่นอนของ TikTok ในสหรัฐฯ เริ่มต้นตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เมื่อสภาคองเกรสผ่านกฎหมายบังคับให้ ByteDance ต้องถอนการถือครองกิจการ TikTok ในสหรัฐฯ รวมถึงเผชิญกับการถูกแบนแอปฯ ชั่วคราวทำให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ไม่สามารถเข้าใช้งานได้ ด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลผู้ใช้งานสหรัฐฯ และความเสี่ยงด้านความมั่นคงแห่งชาติ
ดีลดังกล่าวถูกดึงยาวออกไปหลายเดือนท่ามกลางความกังวลของจีน โดยเฉพาะประเด็นอัลกอริทึมแนะนำคอนเทนต์ ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินทางเทคโนโลยีที่มีความอ่อนไหวสูง และอยู่ภายใต้กฎหมายจีนที่ควบคุมการส่งออกอัลกอริทึม
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในเดือนกันยายน เมื่อรัฐบาลของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศว่าการเจรจากับรัฐบาลปักกิ่งมีความคืบหน้า พร้อมเลื่อนเส้นตายการแบนแอปฯ ออกไปจนถึงวันที่ 23 มกราคม 2025 เพื่อเปิดทางให้ดีลเสร็จสมบูรณ์
อ่านเพิ่มเติม
แม้รัฐบาลจีนจะเคยส่งสัญญาณเห็นชอบกรอบข้อตกลงที่รวมถึงการให้สิทธิใช้งาน (licensing) อัลกอริทึมและทรัพย์สินทางปัญญาแก่สหรัฐฯ แต่แนวทางนี้ยังเผชิญแรงต่อต้านจากสมาชิกสภาคองเกรสสหรัฐฯ บางส่วนที่ต้องการให้ TikTok ถูกแยกขาดจาก ByteDance อย่างสมบูรณ์หรือปิดให้บริการในสหรัฐฯ ไปเลย แม้ผู้ถือหุ้นสหรัฐฯ จะเป็นฝ่ายถือหุ้นใหญ่ แต่ ByteDance ยังมีแนวโน้มได้รับส่วนแบ่งถึง 50% ของกำไรจาก TikTok ในสหรัฐฯ และสะท้อนว่าดีลนี้ถือเป็นการลดอิทธิพลจีนมากกว่าการตัดขาดอย่างสิ้นเชิง
ในเชิงธุรกิจ TikTok ในสหรัฐฯ ถือเป็นทรัพย์สินเชิงยุทธศาสตร์ของ ByteDance โดยรายได้จากต่างประเทศในปี 2024 อยู่ที่ราว 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากรายได้รวม 155,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และตลาดสหรัฐฯ เป็นแหล่งรายได้ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุด
ทั้งนี้ Shou Zi Chew ระบุว่า หลังการเจรจาเสร็จสิ้น บริษัทร่วมทุนในสหรัฐฯ ซึ่งพัฒนาบนโครงสร้างของหน่วยงาน TikTok US Data Security (USDS) จะดำเนินงานในฐานะองค์กรอิสระและมีอำนาจเต็มในการกำกับดูแล โดยจะมีบทบาทตั้งแต่การปกป้องข้อมูลผู้ใช้งานในสหรัฐฯ การกลั่นกรองเนื้อหา ความปลอดภัยของอัลกอริทึม และการรับรองความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ ขณะที่หน่วยงาน TikTok ในระดับโลกจะยังดูแลการทำงานร่วมกันของผลิตภัณฑ์และกิจกรรมเชิงพาณิชย์บางส่วน เช่น อีคอมเมิร์ซ โฆษณา และการตลาด
โดยในดีลนี้ Oracle จะมีบทบาทสำคัญในฐานะผู้ดูแลอัลกอริทึมแนะนำวิดีโอ ซึ่งเป็นหัวใจของ TikTok โดยจะนำอัลกอริทึมดังกล่าวมาฝึกใหม่ด้วยข้อมูลผู้ใช้งานในสหรัฐฯ เพื่อรับประกันว่าเนื้อหาจะปลอดจากการแทรกแซงจากภายนอก
จากแอปฯ วิดีโอสั้นเพื่อความบันเทิง TikTok กลายเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญของการแข่งขันอำนาจระหว่างสหรัฐฯ และจีน และ “บริษัทร่วมทุน” แห่งใหม่นี้อาจเป็นแค่บทสรุปชั่วคราวของเกมที่ยังไม่จบลงอย่างแท้จริง โครงสร้างใหม่เป็นข้อตกลงที่สะท้อนจุดสมดุลทางการเมืองและธุรกิจ ที่สหรัฐฯ ยอมรับได้ในระยะสั้น และเป็นเงื่อนไขที่ทำให้ TikTok ยังอยู่รอดในตลาดอเมริกันต่อไป สำหรับ TikTok บทเรียนครั้งนี้ชัดเจนว่าการเป็นแพลตฟอร์มระดับโลกในยุคภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ ไม่ได้แข่งขันกันแค่เทคโนโลยีหรือผู้ใช้งาน แต่ต้องเอาตัวรอดให้ได้บนสมรภูมิของอำนาจรัฐ ความมั่นคง และข้อมูล ไปพร้อมกัน
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -