
Gemini แซงหน้า ChatGPT ในด้านระยะเวลาการใช้งานต่อครั้งตั้งแต่ปี 2025
ข้อมูลจากบริษัทวิเคราะห์เว็บ Similarweb ระบุว่า ผู้ใช้ Gemini ใช้เวลาเฉลี่ยต่อการสนทนาสูงกว่า ChatGPT โดยพบว่าการใช้งานไม่ได้หยุดอยู่แค่การทดลองหรือถามคำถามสั้นๆ อีกต่อไป กลายเป็นแพลตฟอร์ม AI แชตบอตที่ผู้ใช้ “อยู่กับมันนานขึ้น” แซงหน้า ChatGPT
ปัจจุบันแม้ ChatGPT ของ OpenAI จะมีผู้ใช้งานรวมมากกว่า ราว 800 ล้านคนต่อสัปดาห์และเป็นแอปพลิเคชัน AI อันดับหนึ่งในหลายตลาด แต่ตัวชี้วัดเรื่อง “เวลาใช้งาน” กลับเป็นตัวแปรสำคัญที่นักวิเคราะห์มองว่าอาจทรงพลังยิ่งกว่าจำนวนผู้ใช้ทั้งหมด และกำลังสะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาสำคัญของ Google ที่สามารถเร่งเครื่องพัฒนาเรื่อง AI จนสามารถพลิกกลับมาแซง OpenAI ได้ภายในเวลาหนึ่งปี
จากข้อมูลระบุถึง “Average minutes spent per visit” หรือ ระยะเวลาเฉลี่ยที่ผู้ใช้งานอยู่กับแชตบอตต่อหนึ่งครั้ง ซึ่งพบว่า ระยะเวลาเฉลี่ยของผู้ใช้ Gemini ทั้งบนเดสก์ท็อปและมือถือเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายน 2025 และพุ่งขึ้นแบบก้าวกระโดดในเดือนสิงหาคมถึงตุลาคม 2025 แตะเกือบ 8 นาทีต่อครั้ง ขณะที่ ChatGPT ดิ่งลงสวนทางหลังจากเป็นผู้นำมาตลอดในแง่เวลาใช้งาน
หากพิจารณาให้ชัดจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นหลังช่วงปลายปี 2024 เป็นต้นมา เมื่อ Google เริ่มยกระดับคุณภาพ Gemini อย่างเป็นรูปธรรม ทั้งการให้เหตุผลยาว (long-form reasoning) ที่มีประสิทภาพมากขึ้น การเขียนโค้ดและงานซับซ้อนแม่นยำขึ้น ผู้ใช้จึงไม่ได้เข้าไปถามแล้วออก แต่คุยต่อยาวขึ้น ซึ่งสะท้อนผ่านตัวชี้วัดเวลาการใช้งาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเปิดตัว Gemini 3.0 ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างมากในด้านคุณภาพการตอบ ความสามารถด้านเหตุผล และการเขียนโค้ด โดยผู้ใช้งานและนักวิจัยจำนวนหนึ่งมองว่าโมเดลใหม่นี้สามารถก้าวข้าม GPT-5 ของ OpenAI ในหลายเกณฑ์ที่สำคัญๆ
มากไปกว่านั้นความได้เปรียบเชิงโครงสร้างของ Google ตั้งแต่การเข้าถึงผู้ใช้นับพันล้านผ่านระบบปฏิบัติการ Android ระบบเสิร์ช และ YouTube ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานอย่างชิป TPU ที่พัฒนาเอง กำลังช่วยเร่งให้ Gemini ถูกฝังเข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้ใช้ได้รวดเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้
นอกจากนี้ความนิยมใน Gemini ที่พุ่งขึ้นต่อเนื่องยังมาจากฟีเจอร์ใหม่ๆ ที่เปิดตัวออกมาอย่างต่อเนื่อง นำโดย Nano Banana โมเดลสร้างรูปภาพที่ทำให้ Gemini ไต่ขึ้นเป็นแอปพลิเคชันฟรีอันดับหนึ่งแทนที่ ChatGPT ในเดือนกันยายน รวมถึงการรวม Ecosystem ซึ่ง Google เร่งผูก Gemini เข้ากับ Drive, Gmail, Sheets, Docs และ YouTube ทำให้ผู้ใช้สามารถสั่ง Gemini ดึงข้อมูล วิเคราะห์ และสร้างผลลัพธ์ได้ในที่เดียว กล่าวง่ายๆ คือ ผู้ใช้สามารถนั่งทำงานกับ Gemini ได้มากขึ้น โดยปริยาย
สามปีก่อนที่ Sundar Pichai ซีอีโอของ Google ประกาศ “Code Red” หลังการมาของ ChatGPT ที่อาจคุกคามอนาคตของธุรกิจเสิร์ช แต่วันนี้บทบาทกลับสลับกัน เพราะล่าสุด Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ได้ประกาศ “Code Red” ภายในองค์กรพร้อมกับสั่งหยุดทุกโปรเจกต์เพื่อเร่งทุ่มทรัพยากรกลับมาที่ ChatGPT ส่งสัญญาณเตือนถึงการคัมแบ็กของ Google หลัง Gemini 3.0 ออกสู่ตลาด
ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณชัดว่า Google เลิกตั้งรับ พร้อมกับเลือกรุกเต็มกำลังในสนาม AI ต่างจากช่วงหลัง ChatGPT ที่เปิดตัวปี 2022 ซึ่ง Google ยอมรับเองว่ายังไม่พร้อม วันนี้ Gemini 3.0 แสดงให้เห็นว่า Google กลับมาพร้อมความมั่นใจ ทั้งผลทดสอบที่แข็งแกร่ง การปรับใช้ที่เร็ว และการเข้าถึงผู้ใช้นับพันล้านผ่าน Ecosystem ที่ไม่มีใครเทียบได้
ยิ่งไปกว่านั้นข้อมูลพฤติกรรมยังเป็นตัวสะท้อนชัดว่าผู้ใช้เริ่มสะท้อนการเปลี่ยนขั้ว เมื่อผู้ใช้งาน Gemini ใช้เวลาอยู่กับแพลตฟอร์มนานกว่า ซึ่งบ่งบอกว่า Google สามารถสร้างความผูกพันของผู้ใช้ได้จริง ขณะที่ ChatGPT เริ่มอิ่มตัวในเชิงพฤติกรรม สะท้อนจากพฤติกรรมผู้ใช้รู้ว่าควรถามอะไร ถามตรงประเด็นมากขึ้น ทำให้ในเชิงสถิติ เวลาเฉลี่ยต่อครั้ง จึงลดลง แม้จำนวนผู้ใช้ยังสูง
นักวิเคราะห์มองว่า หากแนวโน้มการใช้เวลาสนทนานี้ยังคงดำเนินต่อไป Google อาจไม่ได้แค่ “ไล่ทัน” OpenAI แต่กำลังเปลี่ยนเกมการแข่งขันจากจำนวนผู้ใช้ไปสู่คุณภาพการมีส่วนร่วม ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างรายได้และความได้เปรียบระยะยาวในยุค AI หลังจากนี้
อ่านเพิ่มเติม
ที่มาข้อมูล Financial Times , Fortune