
กระทรวงดีอีสั่งยกเลิก MOU กับ Prime Opportunity Fund VCC หลังพบการเชื่อมโยงกับการฟอกเงินดิจิทัล
สืบเนื่องจากกรณีที่มี สื่อต่างชาติเผยแพร่เอกสารเส้นทางการเชื่อมโยงกระบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก ซึ่งได้มีการระบุถึง บันทึกความเข้าใจหรือ MOU ที่ได้มีการลงนามในปี 2567 อย่างผิดกฎหมาย ระหว่าง “กระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม” หรือ กระทรวงดีอี กับ “บริษัทไพรม์ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วีซีซี (Prime Opportunity Fund VCC)” ซึ่งล่าสุดได้มีการสั่งยกเลิกบันทึกความเข้าใจหรือ MOU ฉบับดังกล่าวแล้วอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2568
ในงานแถลงข่าวช่วงเย็นวันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 กระทรวงดีอี พร้อมด้วย สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ได้ยืนยันถึงมาตรการสั่งระงับการเก็บรวบรวมข้อมูลม่านตา พร้อมให้ผู้ให้บริการและบุคคลที่เกี่ยวข้อง ลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้องกับประชาชนจำนวน 1,200,000 รายการ ตามคำสั่งทางปกครองแล้ว
โดยยืนยันที่มาคำสั่งของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ คณะ 2 ที่พบว่า ผู้ให้บริการโครงการสแกนม่านตาแลกเหรียญเวิลด์คอยน์ (Worldcoin) ไม่ได้แจ้งวัตถุประสงค์และขอความยินยอมจากผู้สแกนม่านตาที่ครบถ้วน โดยมีการแจ้งวัตถุประสงค์ในขั้นตอนการขอความยินยอมว่าเพื่อยืนยันความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติระบบสามารถย้อนกลับไประบุยืนยันตัวตนบุคคลได้จริง ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลัก PDPA หรือ กฎหมายพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 โดยปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาโทษปรับกับทางบริษัทในกรณีที่ทำผิดอีกด้วย
อย่างไรก็ตามมีการเปิดเผยเพิ่มเติมว่า “กิจกรรมโครงการ WorldID ในประเทศไทย ดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาต" หลังจากมีการติดต่อมายัง สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC ที่เคยได้รับจดหมายขออนุญาตทำโครงการในเดือนมกราคม 2568 แต่ไม่ได้รับการอนุญาตให้ดำเนินโครงการ
ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ย้อนถึงจุดเริ่มต้นของ บันทึกความเข้าใจหรือ MOU ฉบับดังกล่าวที่เกิดขึ้นโดยตรงจากความร่วมมือระหว่าง “กระทรวงพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม” หรือ กระทรวงดีอี กับ “บริษัทไพรม์ ออพพอร์ทูนิตี้ ฟันด์ วีซีซี” (Prime Opportunity Fund VCC) ที่จดทะเบียนในประเทศสิงคโปร์ว่า MOU ฉบับนี้มีเป้าหมายจัดตั้งโครงการนำร่องเพื่อการพัฒนาและส่งเสริมศูนย์ธุรกิจดิจิทัลสำหรับประเทศไทย ซึ่งในบันทึกนี้เรียกชื่อว่า “ศูนย์ธุรกิจและการเงินดิจิทัลนานาชาติประเทศไทย” หรือ TIDC
ไชยชนก กล่าวว่า วันที่ 25 มีนาคม 2567 คือ วันแรกที่พบ “เอกสาร” ที่มีการแนบ MOU ฉบับดังกล่าวที่ถูกส่งจากเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอีฯ ไปยังกรมการต่างประเทศของกระทรวงดีอี โดย ไชยชนก ยืนยันว่าเอกสารฉบับนี้เป็นเอกสารเดียวกับที่สื่อมวลชนได้เห็นในโลกออนไลน์จากการเผยแพร่ของสำนักข่าวแห่งหนึ่งที่อ้างอิงถึงสื่อต่างชาติที่เผยแพร่เอกสารเส้นทางการเชื่อมโยงกระบวนการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลก
ซึ่งภายในเอกสารพบว่าเนื้อหามีรายละเอียดที่เหมือนกัน แต่มีจุดแตกต่าง คือ ตำแหน่งผู้ลงนามในฝั่งของ Prime Opportunity Fund VCC ที่ระบุว่าเป็น “Chief Officer” ของบริษัทจัดการกองทุน Capital Asia Investments Pte.Ltd. (CAI) จากสิงคโปร์ แทนที่จะเป็น Prime Opportunity Fund VCC
จากนั้น วันที่ 26 มีนาคม 2567 ได้มีการส่งออกเอกสารที่แนบ MOU ฉบับดังกล่าวไปยัง 3 หน่วยงานเพื่อขอความเห็นเพิ่มเติม ประกอบด้วย กระทรวงการต่างประเทศ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา และสำนักงานอัยการสูงสุด จากนั้นในวันเดียวกันได้มีการตอบกลับจาก กระทรวงการต่างประเทศและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา โดยระบุว่า MOU ฉบับดังกล่าวต้องอยู่ภายในกฎระเบียบของกฎหมายไทย ฉะนั้นไม่ถือเป็นสนธิสัญญาต่างประเทศและไม่จำเป็นต้องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี
ต่อเนื่องใน วันที่ 27 มีนาคม 2567 สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีการตอบกลับโดยระบุข้อคิดเห็นแนะนำให้ปฏิบัติตามมติ ครม. ที่ นร 0504 /วร 173 ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2547 และนร 0505/ว 66 ลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ซึ่งเป็นแนวทางในการทำสัญญาระหว่างประเทศ พร้อมทั้งแสดงความกังวลเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา (IP) ที่ใน MOU ระบุว่า IP จะเป็นของนักพัฒนา 100% ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายไทยแต่อย่างใด จึงมีข้อเสนอให้ปรับแก้ไข MOU นี้เพื่อให้ฝ่ายไทยมีส่วนที่ได้รับสิทธิประโยชน์จาก IP ดังกล่าวในส่วนที่เกี่ยวข้องด้วย ทั้งนี้ภายในสามวัน MOU ฉบับดังกล่าวถูกลงนามอย่างสมบูรณ์จากปลัดกระทรวงดีอี พร้อมทั้งผ่านการรับทราบจากรัฐมนตรีดีอีฯ ในขณะนั้น
ไชยชนก กล่าวต่อถึง ผลสืบเนื่องของวัตถุประสงค์ของ MOU ที่ต้องการจัดตั้ง “ศูนย์กลางธุรกิจดิจิทัลและการเงินของประเทศไทย” หรือ “Thailand International Digital Business and Finance Center” (TIDC) ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้างพื้นที่ทดลองในรูปแบบของกฎบังคับพิเศษที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงดีอี หรือที่เรียกว่า “Digital Economy Regulatory Sandbox” (DERS) จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ไม่มีการพูดคุยหรือกำหนดกฎหมายและกฎระเบียบใดๆ ที่จะกำกับการขับเคลื่อนธุรกิจพิเศษภายใต้ DERS นี้
จากนั้น วันที่ 5 เมษายน 2567 พบว่าได้มีการจัดตั้ง คณะทำงานขับเคลื่อน MOU โครงการ Sandbox เพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลไทยขึ้น และต่อมาใน วันที่ 13 พฤษภาคม 2567 บริษัท TIDC ได้มีการส่งจดหมายมายังสำนักงานปลัดกระทรวงดีอี ขอขยายขอบเขต MOU โดยระบุเป้าหมายถึงการขยายสาขาเป้าหมายเพิ่มเติมที่จะดำเนินการภายใต้โครงการนำร่องเพื่อให้ครอบคลุมบริการการเงินหลายประเภทมากยิ่งขึ้น เช่น Forex Futures, CFD, OTC Derivatives, NDFs, Spot Foreign Exchange และ Derivatives และได้รับความเห็นตอบกลับว่า MOU เดิมไม่ได้จำกัดสาขาและเปิดกว้างอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแก้ไข แต่ขอให้ประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายไทยและดำเนินการต่อได้เลย
ต่อมา วันที่ 28 ตุลาคม 2567 ได้มีการติดต่อทางอีเมล์จาก บริษัท ไพรม์ สตรีท คอนซัลติ้ง (PrimeStreet Consulting (Thailand) Co.,Ltd.) ในเครือ Prime Street Group ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาของ TIDC มายังกระทรวงดีอี เพื่อขอประชาสัมพันธ์และใช้โลโก้บนเว็บไซต์ รวมถึงการยืนยันการบูรณาการการทำงานร่วมกันของกระทรวงดีอีฯ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT และ TIDC และได้โปรโมทและใช้โลโก้บนเว็บไซต์ TIDC อย่างเป็นทางการใน วันที่ 30 ตุลาคม 2567
ทั้งนี้ สำหรับความเชื่อมโยงกับการดำเนินงานของ World มีข้อมูลปรากฏครั้งแรกใน วันที่ 13 มกราคม 2568 มีเอกสารจาก บริษัท ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส จำกัด (TIDC Worldverse Ltd.) ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ภายใต้ TIDC Group หรือ TIDC Holding Ltd. ส่งมายังสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) เพื่อขออนุญาตทำกิจกรรมโครงการ WorldID ในประเทศไทย โดยมีการตอบกลับใน วันที่ 23 มกราคม 2568 ว่ากิจกรรมของ WorldID ไม่ได้เข้าเกณฑ์และไม่ได้ให้การอนุญาต จากนั้น วันที่ 29 มกราคม 2568 พบว่าได้มีความพยายามต่อเนื่องในการติดต่อมายัง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (สคส.) หรือ PDPC เพื่อขอใบอนุญาตในการกระทำการเก็บข้อมูลม่านตาและได้มีการตอบกลับใน วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 ว่าไม่เข้าเกณฑ์และไม่ได้ให้การอนุญาตเช่นเดียวกัน
โดยความเชื่อมโยงระหว่าง บริษัท ทูลส์ ฟอร์ ฮิวแมนนิตี้ (Tools For Humanity) หรือ TFH บริษัทผู้พัฒนาโครงการ WorldID กับ บริษัท ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส จำกัด ไชยชนก ระบุว่า “บริษัท ทีไอดีซี เวิลด์เวิร์ส จำกัด อยู่ภายใต้ TIDC Group ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้งที่ก่อตั้งขึ้นมาจากการร่วมมือระหว่าง Prime Opportunity Fund VCC กับกระทรวงดีอีโดยตรง"
“ผู้ให้บริการ WorldID หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ World เป็นบริษัทระดับโลกที่มีการเซ็นสัญญาร่วมกับ บริษัท ทูลส์ ฟอร์ ฮิวแมนนิตี้ (Tools For Humanity) หรือ TFH ที่กระทำแบบนี้และมีการระงับการให้บริการในหลายประเทศ ซึ่งบริษัท ทูลส์ ฟอร์ ฮิวแมนนิตี้เองก็มีการเซ็นสัญญาร่วมกับทาง TIDC” โดย ไชยชนก ระบุเพิ่มเติมว่า “อย่างไรก็ตามพวกท่านต้องเป็นคน Connect the Dot ผมต้องไม่แพ้เสียงในหัว… ในฐานะที่ผมกำลังพูดในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงดีอี ผมเชื่อว่าพวกท่านสามารถ Connect the Dot และวิเคราะห์ได้”
ไชยชนก กล่าวต่อว่าอย่างไรก็ตาม วันที่ 16 มิถุนายน 2568 มีหนังสือจาก TIDC ส่งถึงอดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีกระทรวงดีอีฯ เพื่อขอเรียนเชิญหารือแนวทางความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอี ในเรื่องของ TIDC ที่มีการระบุถึงเจตนาในการทำ Worldchain, Worldcoin และ WorldID ซึ่งสะท้อนว่ายังคงมีการดำเนินการต่อ แม้จะมีการปฏิเสธคำขออนุญาตจาก ETDA และ PDPC อีกทั้งยังมีความเคลื่อนไหวของ World ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง
ไชยชนก ย้ำว่า แม้ประเด็นดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่ตนเข้ารับตำแหน่ง แต่ตนได้รับทราบและเร่งดำเนินการอย่างเร่งด่วน โดยมีการสั่งยกเลิก MOU ฉบับนี้เรียบร้อยแล้ว พร้อมทั้งกำลังรวบรวมเอกสารและรายละเอียดที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติมเพื่อส่งไปตรวจสอบร่วมกับทางคณะทำงานตามมาตรา 13 รวมถึงการส่งต่อให้กับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI), สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) รวมถึงการตรวจสอบข้อมูลร่วมกับทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง, กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงแรงงาน และสำนักงานตำรวจแห่งชาติในประเด็นข้อมูลบุคลากรไอที 500 ที่ปรากฏเป็นข่าว ซึ่งเบื้องต้นยังไม่พบความเสียหายเพิ่มเติม
"นอกจากนี้ในส่วนความเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่นๆ ที่ถูกสหรัฐอเมริกาคว่ำบาตรกรณีการฟอกเงินดิจิทัลระดับโลกนี้ ไชยชนกกล่าวว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้อง โดยต้องพิจารณาจากโครงสร้างผู้ถือหุ้นเป็นสำคัญของ TIDC Group ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนไทย 51% อาจเป็นบุคคลเดียวกันกับที่มีส่วนร่วมในการก่อตั้งบริษัท BIC และมีความเชื่อมโยงกับบริษัท CAI ด้วยเช่นกัน"
สุดท้าย ไชยชนก ยืนยันว่า กระทรวงดีอีมีความเกี่ยวข้องจริงและมีส่วนในการทำ MOU ฉบับดังกล่าวขึ้นมาเพื่อส่งเสริมกลุ่มบริษัทที่มีส่วนในการกระทำความผิด ซึ่งในกลุ่มนี้มีตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่น่าเป็นห่วงอย่าง BIC และ CAI นอกจากนี้ แม้ว่าทางข้าราชการประจำได้มีการปฏิเสธการอนุญาตให้มีการกระทำกระบวนการนี้แล้ว ได้แก่ ETDA และ PDPC แต่ผู้ให้บริการ World ในประเทศไทยยังคงดำเนินการต่อ โดยมีจดหมายเจรจาพูดคุยที่ประสานงานระหว่างเจ้ากระทรวงกับตัวบริษัทที่ยืนยันถึงการกระทำ
“ถามว่าพบความเสียหายหรือไม่ ผมคิดว่าสัญญา MOU นี้อาจเป็นหนึ่งในเหตุ ซึ่งอาจเป็นการวินิจฉัยส่วนตัวเกินไป แต่ถือเป็นการรับรองกลุ่มภายใต้บริษัทโฮลดิ้งที่ไปทำกระบวนการที่ก่อให้เกิดการสแกนม่านตาที่พวกเราได้เห็นทุกวันนี้ ถ้าถามว่าเสียหายไหมในมุมมองของผล เสียหายอย่างมหาศาล”
โดยปัจจุบันเรื่องนี้ยังคงอยู่ในกระบวนการสืบหาหลักฐานเพิ่มเติม และได้มีการส่งเอกสารที่ชี้แจงรายละเอียดไปสู่ทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับ MOU ฉบับนี้เพื่อแจ้งเตือนสิ่งที่เกิดขึ้น รวมถึงขอความร่วมมือทุกกระทรวงที่เกี่ยวข้องที่ได้มีการกระทำใด ๆ ร่วมกับองค์กรหรือหน่วยงานใดภายใต้ MOU นี้ให้มีการรายงานกลับมายังกระทรวงดีอีฯ อย่างเร็วที่สุดเพื่อติดตามและดำเนินการทางกฎหมายต่อไป ไชยชนก กล่าว
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -