
ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางทางการเงินอันดับ 2 ของโลกสำหรับผู้ที่มีทรัพย์สินสูงกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ฮ่องกง เขตปกครองพิเศษของจีนที่ถูกขนานนามว่าเป็นศูนย์กลางทางการเงินแห่งเอเชีย ถูกเปรียบว่าเป็นดั่งประตูเชื่อมสู่ตลาดจีน ทั้งในแง่เทคโนโลยี บุคลากร และทรัพยากร ความได้เปรียบของฮ่องกงนอกจากจะเป็นเรื่องโลเคชันที่เชื่อมกับจีนแผ่นดินใหญ่แล้ว ยังมีส่วนของระเบียบการกำกับดูแลที่เอื้อต่อการสร้างธุรกิจ เป็นแหล่งเงินทุนที่ธุรกิจเล็กใหญ่จากทั่วโลกให้ความสนใจ
นับตั้งแต่ปี 1997 ที่ฮ่องกงกับจีนใช้หลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ในการบริหารจัดการ โดยก่อนหน้านั้นฮ่องกงที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรมาตั้งแต่ปี 1842 ทำให้ได้รับอิทธิพลจนสามารถพัฒนามาเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการเงินของเอเชีย จนกระทั่งกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน ฮ่องกงก็ยังคงรักษาภาพลักษณ์เดิมไว้ได้ต่อเนื่อง และสร้างผลกระทบทางเศรษฐกิจให้กับแผ่นดินใหญ่เสมอมา
จากรายงานของ CNBC ที่อ้างถึง Altrata แพลตฟอร์มจัดการด้านความมั่งคั่ง ระบุว่า ฮ่องกงกลายเป็นหนึ่งหมุดหมายสำคัญอันดับ 2 ของโลกที่เหล่าคน Ultra-Wealthy หรือคนที่ร่ำรวยมีทรัพย์สินสูงกว่า 30 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปอาศัยอยู่ เนื่องจากมีอุตสาหกรรมการเงินที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มูลค่าการระดมทุนจาก IPO ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงก็เพิ่มขึ้นราว 8 เท่าในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2025 จนไปแตะระดับ 14,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (นอกจากนี้ยังมีคาดการณ์ว่าในปี 2025 นี้ฮ่องกงจะเป็นฮับ IPO อันดับ 1 ของโลก หรือมีบริษัทเลือกไป IPO ที่นี่มากที่สุด)
นอกจากเป็นฐานการเงินที่แข็งแกร่งในเอเชียแล้ว อีกหนึ่งในความก้าวหน้าของฮ่องกงคงหนีไม่พ้นด้านเทคโนโลยี ที่ทางรัฐบาลคอยกระตุ้นการลงทุนในนวัตกรรมล้ำสมัยเสมอมา จนในปี 2025 นี้ ฮ่องกงสามารถก้าวขึ้นมาติดลิสต์อันดับที่ 3 ของ World Digital Competitiveness Ranking จัดโดยสถาบัน IMD ขยับขึ้นมาจากอันดับ 5 ในปีก่อนหน้า ตามที่มีการปรับตัวในด้านนโยบายและการลงทุนจนสามารถขับเคลื่อนความสามารถทางการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศได้
หนึ่งในความได้เปรียบของฮ่องกงคือมีการสนับสนุนจากมาตรการเชิงนวัตกรรมจากรัฐบาล หนุนให้มีบริษัทเทคโนโลยีเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงเพิ่ม เปิดกว้างให้กับเทคโนโลยีขั้นสูง อย่าง AI และ Blockchain
ที่ผ่านมา ฮ่องกงเน้นหนักไปที่การพัฒนาเมืองตามพิมพ์เขียวที่เรียกว่า “Hong Kong Innovation and Technology Development” หรือแผนพัฒนา I&T Development ของรัฐบาลฮ่องกง โดยมุ่งเน้นภารกิจหลัก 4 ด้าน ได้แก่
นอกจากนี้ จีนแผ่นดินใหญ่เองยังมีการสนับสนุนนโยบาย I&T นี้ด้วยเช่นกัน ผ่านความร่วมมือทั้งด้านทรัพยากรเทคโนโลยี แรงงานคนเก่ง ร่วมพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ยกตัวอย่างเช่น เขตความร่วมมือทางเทคโนโลยี ฮ่องกง-เซินเจิ้น ภายใต้โมเดล “หนึ่งเขต สองอุทยาน” ปั้นเป็นแหล่งผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีอีกหนึ่งแห่งของประเทศ
เมื่อวันที่ 6-7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา Thairath Money มีโอกาสได้ไปเข้าร่วมในงาน Cyberport Venture Capital Forum 2025 (CVCF 2025) ที่ฮ่องกง งานประจำปีที่จะรวมผู้เชี่ยวชาญด้านเวนเจอร์แคปิตอลระดับโลก ผู้ประกอบการ และผู้นำอุตสาหกรรม ซึ่งในปีนี้ Cyberport มุ่งเน้นไปที่การหนุนรัฐบาลฮ่องกงให้มีความแข็งแกร่งขึ้นในแง่ของนวัตกรรมและเทคโนโลยีล้ำสมัย โดยเฉพาะ AI และ Blockchain ที่กำลังเป็นหน้าด่านสำคัญที่จะกำหนดทิศทางในการลงทุน
Cyberport คือ อีกหนึ่งโปรเจกต์สำคัญของฮ่องกงในฐานะศูนย์กลางการเงินของโลก โดย Cyberport คือ Technology Hub ภายใต้การดูแลของรัฐบาล ศูนย์กลางเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ของฮ่องกง แหล่งบ่มเพาะธุรกิจและแหล่งลงทุนสตาร์ทอัพ มีวิสัยทัศน์ในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลของภาคอุตสาหกรรม ส่งเสริม เศรษฐกิจดิจิทัลและการพัฒนา AI และสนับสนุนให้ฮ่องกงก้าวสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม เทคโนโลยี และ AI ระดับนานาชาติ
ในปีที่ผ่านมาได้ช่วยส่งเสริมผู้ประกอบการในประเทศผ่านเครื่องมือการลงทุนหลัก ได้แก่ Cyberport Investors Network (CIN) เครือข่ายนักลงทุนของ Cyberport เอง และกองทุน Cyberport Macro Fund อีกทั้งยังช่วยประเทศดึงดูดนักลงทุนระดับโลกให้เข้ามาช่วยหนุนสตาร์ทอัพให้ประสบความสำเร็จ
Thairath Money มีโอกาสได้คุยกับ Simon Chan ประธานของ Hong Kong Cyberport ถึงแนวทางการดำเนินงาน และแผนที่จะผลักดันฮ่องกง เขาเล่าว่า Cyberport ดำเนินงานสอดคล้องกับแผนแม่บทการพัฒนาด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีของรัฐบาลฮ่องกงมาโดยตลอด ผ่านการมุ่งเน้นภารกิจหลัก 4 ด้าน ได้แก่
ตลอดปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเป็นช่วงยากลำบากของหลายฝ่าย แม้สภาพแวดล้อมการลงทุนทั่วโลกจะเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่ Cyberport มีการสนับสนุนจนสตาร์ทอัพสามารถระดมทุนรวมได้ถึง 3,400 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 14,200 ล้านบาท) นับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2024 ถึงกันยายน 2025 ส่งผลให้ยอดระดมทุนสะสมของบริษัทในเครือ Cyberport สูงถึง 46,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (กว่า 190,000 ล้านบาท) นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่สามารถจดทะเบียนเพิ่มได้อีก 10 แห่ง และมียูนิคอร์นอีก 2 รายในปีที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวมอยู่ที่ 13 บริษัทจดทะเบียน และ 10 ยูนิคอร์น
Simon Chan กล่าวในช่วงเปิดงานด้วยว่า “ในปีนี้ CVCF จะเน้นไปที่ ตลาดทุนร่วมลงทุน (VC) ที่กำลังเติบโต อย่างเช่น ตะวันออกกลาง อาเซียน และจีนแผ่นดินใหญ่ พร้อมใช้ประโยชน์จากโอกาสที่เกิดขึ้นในประเทศและภูมิภาคตามแนว Belt and Road เป้าหมายคือการทำหน้าที่เป็น 'ซูเปอร์คอนเน็กเตอร์' ที่เชื่อมจีนแผ่นดินใหญ่กับตลาดโลก และเป็น 'ซูเปอร์ตัวเพิ่มมูลค่า' ที่ช่วยสร้างโอกาสและประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”
เพื่อให้ตามทันกระแสการลงทุนเทคโนโลยีระดับโลก Cyberport ยังคงสร้างคอมมูนิตี้ด้านการลงทุนแบบเฉพาะทางอย่างต่อเนื่อง โดยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับ AI และ Blockchain ซึ่งเป็นสองเทคโนโลยีที่กำลังดึงดูดเม็ดเงินจากนักลงทุนทั่วโลก
โดยมีการตั้งกลุ่ม “Web3.0 Investors Circle” ไปเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว และ ณ ปัจจุบันนี้สามารถรวบรวมนักลงทุนเกือบ 50 ราย และสามารถผลักดันโปรเจกต์เกิดขึ้นแล้ว 9 โครงการ โดยมียอดเงินลงทุนรวมกว่า 260 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง
ปีนี้ Cyberport ยังได้เปิดตัวกลุ่ม “AI Investors Circle” เป็นการรวมตัวของบริษัทร่วมลงทุนและกองทุนที่มุ่งเน้นด้าน AI เพื่อสนับสนุนสตาร์ทอัพสาย AI รุ่นใหม่ อำนวยความสะดวกด้านเงินทุนสำหรับ AI โดยเฉพาะ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศ AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วของฮ่องกง
ที่มา: Cyberport, CNBC, KPMG, IMD, DITP, ITIB Hong Kong, China Daily
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney