กำลังจะมีหุ้น OpenAI ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ "IPO ระดับประวัติศาสตร์" หลังปรับโครงสร้างใหม่สำเร็จ

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

กำลังจะมีหุ้น OpenAI ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ "IPO ระดับประวัติศาสตร์" หลังปรับโครงสร้างใหม่สำเร็จ

Date Time: 30 ต.ค. 2568 17:58 น.

Video

SAWAKAMI บลจ.ญี่ปุ่นบุกไทย | BrandStory Exclusive EP.26

Summary

OpenAI ปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ จากองค์กรไม่แสวงหากำไร สู่ “Public Benefit Corporation (PBC)” หรือ บริษัทเพื่อประโยชน์สาธารณะ ปลดล็อกข้อจำกัดโครงสร้าง เปิดทางสู่ IPO มูลค่าแตะ 1 ล้านล้านสหรัฐ

โลกจับตาความเคลื่อนไหวครั้งล่าสุดของ OpenAI ที่อาจสร้างแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอีกครั้ง เมื่อบริษัทประกาศว่าการปรับโครงสร้างองค์กรสู่การเป็น “Public Benefit Corporation (PBC)” หรือ “บริษัทแสวงหากำไรที่มีพันธกิจเพื่อสาธารณะ” ที่เริ่มต้นดำเนินการในปี 2024 เสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการระดมทุนในระดับล้านล้านและอาจนำไปสู่การเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ซึ่งอาจมีมูลค่าสูงถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 37 ล้านล้านบาท ตามรายงานจาก Reuters ที่อ้างอิงข้อมูลจากบุคคลใกล้ชิดกับเรื่องดังกล่าว ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงจะนับเป็นหนึ่งในดีล IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ 

ผลลัพธ์การปรับผังองค์กรครั้งนี้ ไม่เพียงแต่เปลี่ยนทิศทางของบริษัทเจ้าของ ChatGPT เท่านั้น แต่ยังผลักดันให้มูลค่าตลาดของผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดอย่าง Microsoft ผู้หนุนหลัง OpenAI ในช่วงเริ่มต้น พุ่งทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำสถิติใหม่และขึ้นไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ Apple และ Nvidia

จากองค์กรไม่แสวงหากำไร สู่ “กลุ่มบริษัทเชิงพาณิชย์” ที่พร้อมเข้าตลาดหุ้น

OpenAI ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ในฐานะ “ห้องปฏิบัติการวิจัยที่ไม่แสวงหาผลกำไร” (Non-profit Research Laboratory) จากกลุ่มบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็นอัจฉริยะแห่งซิลิคอนแวลลีย์ที่มีเป้าหมายใหญ่ คือ การพัฒนา AGI (Artificial General Intelligence) เพื่อมนุษยชาติ โดยมีการตั้งพันธกิจไว้อย่างชัดเจนในการดำเนินการแบบ “องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร”

อย่างไรก็ตาม เส้นทางการพัฒนาเรียกร้องเม็ดเงินลงทุนจำนวนมหาศาลที่สร้างแรงกดดันให้ OpenAI ต้องยอมผ่าตัดใหญ่พลิกโครงสร้างบริษัททั้งหมดในปี 2019 ที่ได้ประกาศเปลี่ยนผ่านจากโครงสร้างแบบ “ไม่แสวงหากำไร” ไปสู่การ “แสวงหากำไร” อย่างเต็มตัว

OpenAI แก้ปัญหานี้โดยการจัดตั้งบริษัทลูกที่แสวงหาผลกำไรได้ขึ้นมาในชื่อ “OpenAI LP” เพื่อเปิดรับเงินลงทุนจากภาคเอกชน การปรับโครงสร้างครั้งนี้ได้สร้างโมเดลลูกผสม ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน โดยยังคงองค์กรดั้งเดิมที่ไม่แสวงหาผลกำไร (OpenAI Inc.) ไว้ในฐานะบริษัทแม่ที่มีอำนาจควบคุมสูงสุด ซึ่งจะควบคุมผ่านการเป็นเจ้าของนิติบุคคลที่เป็นผู้จัดการ (OpenAI GP LLC) ที่จะเข้าไปกำกับดูแลบริษัทลูกที่แสวงหากำไรอีกทอดหนึ่ง

ซึ่งบริษัทลูกนี้จะมีสถานะเป็น “บริษัทจำกัดเพดานผลกำไร” หรือ Capped-Profit Company ที่ผลตอบแทนสำหรับนักลงทุนและพนักงานที่ถือหุ้นจะถูกจำกัดไว้ที่เพดานสูงสุด โดยกำไรใดๆ ที่เกิดขึ้นเกินกว่าเพดานที่กำหนดจะถูกส่งมอบกลับคืนให้แก่บริษัทแม่ (OpenAI Inc.) เพื่อใช้สนับสนุนภารกิจที่ไม่แสวงหาผลกำไรต่อไป ทั้งนี้ Microsoft ซึ่งเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ก็อยู่ภายใต้โครงสร้างนี้

ทั้งนี้ OpenAI พยายามปรับโครงสร้างองค์กรในส่วนที่แสวงหาผลกำไรอีกครั้งในปี 2024 ก้าวสู่การเป็น “Public Benefit Corporation” (PBC) เพื่อเปิดทางให้สามารถระดมทุนและถือหุ้นได้แบบบริษัททั่วไป แต่ยังคงอยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์กรไม่แสวงหากำไรเดิม ซึ่งปัจจุบันรีแบรนด์เป็น “OpenAI Foundation”

ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้

  • OpenAI Foundation ถือหุ้น 26% ของธุรกิจ มูลค่าประมาณ 130,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
  • Microsoft ยังคงถือหุ้น 27% ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 135,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (มากกว่า 10 เท่าของเงินลงทุนที่บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่รายนี้อัดฉีดใน OpenAI ตั้งแต่ปี 2019 จำนวน 13,750 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
  • ส่วนที่เหลือ 47% เป็นของพนักงานและนักลงทุนรายอื่น เช่น SoftBank, Thrive Capital, Andreessen Horowitz, และ Sequoia Capital

ขณะที่ Sam Altman ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง OpenAI ยังคงยืนกรานว่า เขาจะไม่ถือหุ้นในบริษัท ภายใต้โครงสร้างใหม่นี้เพื่อรักษาความเป็นกลางทางจริยธรรมขององค์กร พร้อมทั้งกล่าวชัดเจนถึงความเป็นไปได้ในการเสนอขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์สำหรับ OpenAI เพื่อเปิดช่องทางการหาเงินทุนมหาศาลมาขับเคลื่อนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ยังต้องการเงินเพิ่มอีกในระดับหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

เส้นทางสู่ประวัติศาสตร์ “IPO มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ”

“IPO คือเส้นทางที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด” Sam Altman กล่าว ขณะเดียวกัน Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia ซึ่งมีแผนลงทุนสูงสุดถึง 100,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐใน OpenAI ยังสนับสนุนว่า “นี่จะเป็นหนึ่งในการเสนอขายหุ้นที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์” พร้อมคาดว่า OpenAI อาจเข้าตลาดหุ้นได้เร็วที่สุดภายในปีหน้า

รายงานระบุว่า OpenAI มีเป้าหมายจะยื่นเอกสารต่อหน่วยงานกำกับดูแลในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 และเปิดตัวในตลาดหุ้นภายในปี 2027 โดย Sarah Friar ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน (CFO) ของบริษัทได้กล่าวถึงกรอบเวลาดังกล่าวกับผู้ร่วมงานบางส่วนแล้ว

เบื้องต้นบริษัทอยู่ระหว่างการหารือเพื่อระดมทุนรอบใหม่อย่างน้อย 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรืออาจมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดและแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยให้ Sam Altman สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนขนาดใหญ่เพื่อผลักดันวิสัยทัศน์ระยะยาวในการขยายโครงสร้างพื้นฐานและระบบ AI ขั้นสูงทั่วโลก

แน่นอนว่าหากดีลนี้เกิดขึ้นจริงจะถือเป็นหมุดหมายสำคัญของอุตสาหกรรม AI และตอกย้ำสถานะของ OpenAI ในฐานะหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก

อ่านเพิ่มเติม

โครงสร้างใหม่เปลี่ยนแปลงทั้งอำนาจและทิศทางธุรกิจ

ดีลนี้เกิดขึ้นหลังจากการเจรจายาวนานระหว่าง OpenAI, Microsoft, และหน่วยงานกำกับดูแลจากรัฐ Delaware และ California ที่เข้ามาตรวจสอบโครงสร้างใหม่เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทจะยังคงให้ความสำคัญกับ “ความปลอดภัยและผลประโยชน์ของสาธารณะ” รวมถึงประเด็น “อำนาจควบคุม” ของ OpenAI ที่ยังคงซับซ้อน

แม้ Microsoft จะได้สัดส่วนหุ้นสูงสุด แต่ OpenAI Foundation ยังคงมีอำนาจควบคุมทางกฎหมายผ่านสิทธิ์ “การแต่งตั้งและปลดบอร์ดบริหารของฝ่ายเชิงพาณิชย์” หรือพูดอีกอย่างคือ “Microsoft ถือหุ้นมากที่สุด แต่ไม่มีอำนาจควบคุมบริษัท” โดย OpenAI Foundation ยังคงมีหน้าที่หลักในการกำกับจิตวิญญาณของบริษัทเพื่อให้แน่ใจว่าการพัฒนา AI จะยังคงเป็น “เพื่อประโยชน์ของมนุษยชาติ”

Microsoft ถือเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุดรวมถึงเป็นพาร์ทเนอร์สำคัญที่มีอิทธิพลต่อทิศทางของบริษัทจากช่วงเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างองค์กรส่งผลต่อกลยุทธ์และความร่วมมือทางธุรกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ความสัมพันธ์ระหว่าง OpenAI และ Microsoft จากที่เคยพึ่งพาอาศัยกันอย่างลึกซึ้ง กำลังก้าวสู่สภาวะซับซ้อนที่เรียกว่า Coopetition หรือการร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดแต่ก็แข่งขันกันโดยตรงในเวลาเดียวกัน

ทั้งนี้ OpenAI และ Microsoft ได้มีการลงนามที่ไม่ผูกมัดกันและกันเพื่อปรับความสัมพันธ์กันในอนาคต โดยมีการยกเลิกสิทธิ์พิเศษบางส่วนในดีลเก่าที่เคยมี เช่น Microsoft ยกสิทธิ์การเป็นผู้ให้บริการคลาวด์แต่เพียงรายเดียว (Exclusive Cloud Provider) เพื่อเปิดทางให้ OpenAI ใช้ผู้ให้บริการเจ้าอื่นได้ รวมถึงยกเลิกสิทธิ์ในการขัดขวางการซื้อกิจการหรือการออกหลักทรัพย์ของ OpenAI

อย่างไรก็ตาม Microsoft จะยังคงเข้าถึงเทคโนโลยี AI เช่น โมเดลแนวหน้าของ OpenAI (Frontier Model Partner) รวมถึงสิทธิใน IP ของ OpenAI เช่น Model Weights, Architecture และ Inference code ได้จนถึงปี 2032 หรือจนกว่าเป้าหมาย AGI จะถูกประกาศว่าสำเร็จ นอกจากนี้ OpenAI เองจะต้องซื้อและใช้งานบริการ Azure ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มคลาวด์ของ Microsoft ในช่วงเวลาดังกล่าวเพิ่มเติมอีก 250,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ดีลนี้ไม่เพียงทำให้ OpenAI ปลดล็อกข้อจำกัดทางโครงสร้างเพื่อระดมทุนจากตลาดทุน แต่ยังส่งผลกระทบเชิงยุทธศาสตร์ต่อทั้งระบบนิเวศ AI ทั่วโลก โดยเฉพาะจุดยืนและบทบาทของ OpenAI ในอุตสาหกรรม AI หลังจากนี้ที่จะมีเสรีภาพในการระดมทุนและจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ได้อย่างอิสระ

Microsoft ได้รับผลประโยชน์โดยตรงจากมูลค่าหุ้นที่พุ่งทะลุ 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และตอกย้ำสถานะ “หุ้นเทคโนโลยี AI ตัวแม่” คู่กับ Nvidia แต่จะไม่ใช่บิ๊กเทคเจ้าเดียวที่มีอิทธิพลกับ OpenAI อีกต่อไป นักลงทุนรายใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่ SoftBank ถึง Andreessen Horowitz หรือบุคคลทั่วไปอาจสามารถถือหุ้นในบริษัทที่อาจกลายเป็น “IPO มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ” ในอนาคต

การปรับโครงสร้างครั้งนี้คือ “จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์” ของ OpenAI จากองค์กรไม่แสวงหากำไรสู่บริษัทเทคโนโลยีเชิงพาณิชย์ระดับโลก พร้อมระดมทุนมหาศาลเพื่อขับเคลื่อนยุคถัดไปของ AI อีกหนึ่งสัญญาณว่าเงินลงทุนจำนวนมากกำลังหมุนเวียนและเตรียมที่จะหมุนเวียนอีกมหาศาลหลังจากนี้

อ่านเพิ่มเติม

ที่มาข้อมูล Reuters  , Bloomberg , Financial Times 


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ