
แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัว แต่ในทุก ๆ วันผู้คนก็ยังคงต้องออกมาจับจ่ายใช้สอยกันต่อเนื่อง และความมาแรงของรูปแบบการชำระเงินของคนไทยคงหนีไม่พ้นการสแกนจ่าย หรือการใช้จ่ายผ่านทางออนไลน์
Pay Solutions ผู้ให้บริการระบบชำระเงินออนไลน์แห่งแรกของไทย เผยภาพรวมการชำระเงินในไทยตลอดปี 2025 ชี้ คนไทยยังนิยมทั้งการชำระเงินผ่านระบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ซีอีโอของ Pay Solutions เปิดเผยว่า มียอดธุรกรรมผ่าน Pay Solutions ระยะเวลา 10 เดือนของปีนี้สูงกว่า 10,500 ล้านบาท และคาดการณ์ยอดรวมสิ้นปีจะอยู่ที่ 12,200 ล้านบาท หรือโตขึ้น 100% เมื่อเทียบกับปี 2024 ที่อยู่ที่ราว 6,083 ล้านบาท
ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ยอดการชำระผ่านช่องทางออนไลน์ ส่วนของ PromptPay มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยช่วงระหว่าง 1 มกราคม ถึง 31 กรกฎาคม 2025 มียอดใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์ดังนี้
ในขณะที่การใช้จ่ายผ่านระบบออฟไลน์ผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ อย่างเช่นการรูดบัตรผ่านเครื่อง EDC มียอดการทำธุรกรรมอยู่ที่ 75.4 ล้านครั้งโตขึ้น 1.7% จากปีที่แล้ว โดยมูลค่าการทำธุรกรรมเฉลี่ยอยู่ที่ 2,130 บาท/รายการ ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมที่ 160,700 ล้านบาท
จะเห็นได้ว่า PromptPay กำลังเติบโตขึ้นเป็นช่องทางชำระเงินหลักของคนไทย สะท้อนการย้ายจากระบบชำระเงินแบบเดิมไปสู่การโอนเงินเรียลไทม์ที่สะดวก รวดเร็ว และต้นทุนต่ำกว่า อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคยังคงไว้ใจที่จะชำระสินค้าที่มีราคาสูงกว่าผ่านระบบออฟไลน์มากกว่า เพราะยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องความมั่นใจในสินค้าและประสบการณ์ที่ได้รับก่อนตัดสินใจซื้อของแพง
หนึ่งในความท้าทายของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ในปัจจุบัน นอกจากเรื่องต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว ยังมีเรื่องของค่าธรรมเนียมในการขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม e-Commerce ต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยม อย่างเช่น Shopee, TikTok Shop, Lazada ตลอดจนแพลตฟอร์มมาใหม่หลายตัวที่เริ่มเข้ามาให้บริการในไทย
ปฏิเสธไม่ได้ว่าช่องทางเหล่านี้สามารถสร้างรายได้ได้มหาศาล และยังเป็นช่องทางที่ผู้บริโภคนิยมเข้ามาเลือกซื้อสินค้า เพราะแพลตฟอร์มเดียวสามารถหาได้ทุกอย่าง แถมยังมีตัวเลือกสินค้าเดียวกันให้ช้อปนับร้อย
แต่ในฝั่งของร้านค้า บางเจ้ากลับต้องเผชิญกับปัญหา “ค่าบริการเพิ่มสูงขึ้น” โดยมีการคิดค่าบริการแพลตฟอร์มสูงถึง 15-25% จนบางรายถึงขั้นที่โดนค่าบริการจนไม่เหลือกำไร อีกทั้งแพลตฟอร์มยังปิดกั้นการเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า ซึ่งร้านค้าจะไม่สามารถดูหรือดึงข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าของตัวเองได้ แม้จะเป็นลูกค้าประจำก็ตาม ร้านก็จะไม่สามารถนำ Data มาใช้ต่อยอดในงานบริการหรือการขายได้
เพื่อแก้ปัญหานี้ Pay Solutions พยายามกระตุ้นให้ผู้ประกอบการไทยสร้าง Owned Channel (ช่องทางการชำระเงินและช่องทางการขายของตัวเอง เช่น เว็บไซต์, แชท, อีเมล) เพื่อลดการพึ่งพาแพลตฟอร์ม ลดการจ่ายค่าธรรมเนียม และที่สำคัญคือเพื่อให้ข้อมูลลูกค้าอยู่กับผู้ประกอบการเอง
กลยุทธ์คือ การใช้ Marketplace เป็นช่องทางหาลูกค้าใหม่ แต่ต้องพยายามดึงลูกค้ามาเก็บไว้ใน Owned Channel ของตัวเอง และใช้ช่องทางนี้ขายลูกค้าเก่าและมัดใจให้อยู่กับร้านต่อ โดยทาง Pay Solutions เองก็มีการนำบริษัทในกลุ่มที่ลงทุนมาเชื่อมต่อกับ Pay Solutions เพื่อสร้าง “Payment Infrastructure” และให้ข้อมูลอยู่ในมือคนไทย
นอกจากการสนับสนุนกลยุทธ์ให้ร้านค้าสร้าง Owned Channel ของตัวเองแล้ว ทาง Pay Solutions ยังมองด้วยว่า เรื่องการรับชำระเงินของร้านค้าจะต้องตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป นั่นคือต้องรองรับทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ตลอดจนต้องรองรับการชำระที่หลากหลายรูปแบบ
Pay Solutions มองว่า “Hybrid Payment” หรือระบบการชำระเงินที่ครบวงจร รับชำระได้หลากหลายจะตอบโจทย์กับร้านค้าในยุคนี้อย่างมาก เพราะจะเห็นได้ว่าคนไม่ได้พึ่งแค่ช่องทางเดียวในการใช้จ่าย และหลากหลายมากขึ้น
นอกจากนี้การที่ร้านค้าทั้งรายเล็กใหญ่เปิดให้มีระบบรับชำระที่ครบวงจร จะเป็นการเพิ่มลูกค้าใหม่ ๆ ให้ร้านเอง ซึ่งก็รวมถึงลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาในประเทศไทย ส่วนนี้ก็จะเป็นการช่วยหนุนให้ประเทศสามารถดึงเงินจากต่างชาติเข้ามาได้อีกด้วย
ภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กล่าวว่า “ในวันที่กำลังซื้อภายในประเทศยังชะลอตัว การดึงเม็ดเงินจากต่างชาติและการเปิดรับช่องทางการชำระเงินจากทั่วโลกคือทางรอดของธุรกิจไทย Pay Solutions พร้อมเป็นโครงสร้างพื้นฐานการชำระเงินที่เชื่อมเศรษฐกิจไทยเข้ากับโอกาสระดับสากล”
ดังนั้น แผนต่อจากนี้ของ Pay Solutions ในการช่วยสนับสนุนธุรกิจไทยทั้งรายเล็กรายใหญ่ จะเป็นการขยายช่องทาง เพิ่มประสิทธิภาพในระบบชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นการรุกหน้าบุกตลาดค้าปลีก (Retail) และตั้ง Kiosk เพื่อรองรับการใช้จ่ายของลูกค้าที่หลากหลาย
อีกทั้งยังได้จับมือกับพาร์ทเนอร์เปิดตัวเครื่อง “Super EDC” ที่มีทั้งระบบ POS, CRM, สะสมแต้ม, AI วิเคราะห์ข้อมูลในเครื่องเดียว เพื่อช่วยลดภาระในเรื่องค่าใช้จ่าย ต้นทุนเทคโนโลยีสำหรับร้านอาหารและค้าปลีก ซึ่งส่วนนี้ทาง Pay Solutions จะรุกในตลาดระบบชำระเงินออฟไลน์มากขึ้น
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: “Super EDC” เพื่อ SMEs ไทย เครื่องเดียวจบ รับออเดอร์-คิดเงิน-ระบบสมาชิก-AIวิเคราะห์ข้อมูลเรียลไทม์
ขยายบริการให้ครบวงจรมากขึ้น เน้นเป็น Payment ที่รองรับทั้งออนไลน์และออฟไลน์ และจะเพิ่มบริการจ่ายเงินออก หรือ Payout จากเดิมที่มีแค่รับเงินเข้า ทำให้มีลักษณะคล้ายธนาคารมากขึ้นและเพิ่มประโยชน์ให้กับร้านค้ามากขึ้น
ตลอดจนให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย ผ่านการทำงานร่วมกับภาครัฐอย่างใกล้ชิด เพราะในปัจจุบันปัญหาอย่างเรื่องสแกมเมอร์หรือบัญชีม้าและการฟอกเงินกำลังระบาดหนักและกระทบกับหลายฝ่าย ซึ่งส่วนนี้ Pay Solutions จะเดินหน้าเต็มที่ช่วยปราบปรามสแกมเมอร์และเข้าร่วมระบบ Blacklist บัญชีม้า
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney