ไทยจะ Quick Big Win  ด้วย “เทคโนโลยี” ได้อย่างไร?​

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ไทยจะ Quick Big Win ด้วย “เทคโนโลยี” ได้อย่างไร?​

Date Time: 28 ต.ค. 2568 09:34 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

“Deep Tech Economy” งาน THAIRATH FORUM 2025 : The Next New Economy สามผู้นำจากภาครัฐและเอกชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองถึงบทบาทของเทคโนโลยีขั้นลึก (Deep Tech) ในการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่

Latest


บนเวทีเสวนา “Deep Tech Economy” งาน THAIRATH FORUM 2025 : The Next New Economy สามผู้นำจากภาครัฐและเอกชนได้ร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองถึงบทบาทของเทคโนโลยีขั้นลึก (Deep Tech) ในการผลักดันเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่ เพื่อตอบคำถามสำคัญของงานว่า “ไทยยังมีโอกาสอยู่ไหม” และ “ไทยควรจะก้าวอย่างไรต่อในเรื่องของเทคโนโลยี” ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การบูรณาการข้อมูล การลงทุนในเทคโนโลยีอนาคต และการสร้างคนให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

โดยมีผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ จรีพร จารุกรสกุล ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (มหาชน) พชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป (มหาชน) และ ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล ผู้อำนวยการ สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน)

“วางชีพจรเทคโนโลยีของชาติ”

จรีพร จารุกรสกุล เริ่มต้นฉายภาพให้เห็นถึง โครงสร้างการลงทุนของประเทศไทยกำลังเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เธอกล่าวว่า ไทยกำลังเปลี่ยนเข้าสู่ยุคของ “New Economy” ที่อุตสาหกรรมเดิมกำลังเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล และ “Big Win” ของไทยจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถวาง “ชีพจรเทคโนโลยีของชาติ” ให้ถูกจังหวะและเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยไม่สะดุดจากความไม่แน่นอนทางการเมือง

“เศรษฐกิจใหม่ของไทย ต้องขับเคลื่อนด้วย 4 เสาหลักสำคัญของเศรษฐกิจใหม่ (New Economy Pillars) ได้แก่ Digital, Innovation, Green, และ Creative ซึ่งจะเป็นฐานสำคัญของชีวิตและธุรกิจในอนาคตหลังจากนี้ สิ่งเหล่านี้คืออนาคตของโลกและถ้าไทยวางยุทธศาสตร์ให้ชัด เราจะเกาะเทรนด์โลกได้ทัน”

จรีพร กล่าวว่า ประเทศไทยเรามี “บุญเก่า” ที่แข็งแรงอยู่แล้วในฐานอุตสาหกรรมเก่า แต่สิ่งสำคัญคือการต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่ๆ พร้อมกับวางรากฐานต่อเนื่องให้ประเทศเดินหน้าได้อย่างมั่นคง ยกตัวอย่าง อุตสาหกรรมกลุ่มยานยนต์ไทยเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมยานยนต์ระดับท็อปของโลก สิ่งที่เราแข็งแรงคือ ICE (เครื่องยนต์สันดาป) แต่ปัจจุบันเรากำลังมี Ecosystem ด้าน EV ที่แข็งแกร่งขึ้นมาก วันนี้เราก็เป็น EV Hub ได้แล้ว เพราะเรามีฐานการลงทุนแบบเก่าที่แข็งแรง ทำให้เรามีเศรษฐกิจในวันนี้ อย่างไรก็ตามเราสามารถดึง “บุญใหม่” เข้ามาได้อย่างไร”

อุตสาหกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เช่น กลุ่ม Auto sector และ Supply Chain ที่กำลังเปลี่ยนแปลงอย่างมาก โดยใช้ฐานเดิมแต่เสริมด้วย “เทคโนโลยีและดิจิทัล” รถยนต์ไฟฟ้าในอนาคตจะไม่ใช่แค่รถยนต์อีกต่อไป หรืออีกกลุ่มหนึ่งอย่าง Electronics มันกำลังเปลี่ยนไปสู่ “High-End Electronics” รวมถึง Semiconductor, PCB และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เครื่องใช้ไฟฟ้าแบบเดิมอีกต่อไป แต่เป็นเหมือน “คอมพิวเตอร์ขนาดเล็ก” ในทุกชิ้นสินค้า ดังนั้นการพัฒนาเทคโนโลยีอย่าง AI, Quantum Computing, Advanced Energy หรือ Small Modular Reactor ต้องไม่ใช่แค่แนวคิด แต่ต้องถูกบูรณาการเป็นแผนระดับชาติอย่างจริงจัง

จรีพร เน้นย้ำว่า ไทยต้องมียุทธศาสตร์ระดับประเทศที่ชัดเจนและต่อเนื่องเพื่อสร้างเสถียรภาพให้การลงทุนด้านเทคโนโลยีเดินหน้าได้จริง โดยเฉพาะ การดึงเงินเข้าประเทศให้ได้เร็วที่สุด เพราะนั่นคือสิ่งที่จะเพิ่ม GDP ได้โดยตรง หนึ่งในเครื่องมือสำคัญ คือ “FDI (Foreign Direct Investment) หรือการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ” ที่หลายบริษัท โดยเฉพาะจากจีนและสหรัฐฯ พร้อมจะย้ายฐานการลงทุนออกมา เงินใหม่กำลังไหลออกจากจีน และเข้าสู่ประเทศอื่นในเอเชีย


ไทยอยู่ตรงไหนในสนามแข่งขันเทคโนโลยีโลก

แม้ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบหลายด้านในการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) แต่ภาพรวมในภูมิภาคกลับถูกประเทศเพื่อนบ้าน “แซงหน้าไปแล้ว” เวียดนาม เดินหน้าดึง FDI อย่างต่อเนื่อง อินโดนีเซีย เร่งผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลเต็มที่ มาเลเซีย ประกาศพัฒนาอุตสาหกรรมชิปของตัวเอง และสิงคโปร์ ยังคงเป็น Tech Hub ระดับโลก คำถามสำคัญคือ “ประเทศไทยอยู่ตรงไหน” ในสนามแข่งขันเทคโนโลยีใหม่นี้?

จรีพร กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า ไทยเริ่มได้เปรียบเวียดนามอีกครั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน เพราะเวียดนามแม้จะดึง FDI ได้มากในอดีต แต่ตอนนี้เริ่มเจอข้อจำกัด ทั้งเรื่องพลังงานและแรงงาน มากไปกว่านั้นไทยเริ่มกลับมาเติบโตอย่างชัดเจนหลังการจัดตั้ง EEC (Eastern Economic Corridor) ซึ่งเป็นเหมือน “Easy Board ภาค 2” ที่ดึง FDI กลับเข้ามา

“ตัวเลขชี้ชัดที่ชัดเจน คือ เมื่อปีที่แล้ว FDI ไทยอยู่ที่ ราว 8 แสนล้านบาท ส่วนเวียดนามอยู่ราว 1 ล้านล้านบาท ครึ่งปีแรกปีนี้ (2025) ไทยมี FDI ถึง 732,000 ล้านบาท มากกว่าเวียดนามในช่วงเดียวกัน โดยกว่า 400,000 ล้านบาท มาจาก กลุ่ม Data Center 100,000 ล้านบาท จาก อิเล็กทรอนิกส์ และ 40,000 ล้านบาท จาก ยานยนต์ รอบนี้ FDI ของไทยมาจาก New Economy ทั้งหมด EV, High-End Electronics, Deep Tech และ Data Center”

“คน” และ “ข้อมูล” หัวใจของ Quick Big Win 

พชร อารยะการกุล กล่าวว่า Quick Big Win ที่แท้จริงของประเทศไทยในตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น แต่คือ “คน” โดยเฉพาะ บุคลากรด้านเทคโนโลยี (Tech Talent) ซึ่งประเทศไทยมี “คุณภาพ” แต่ยังขาด “ปริมาณ”

โดยมีปัญหาหลักมาจาก 2 มิติ คือ ภาคการผลิตแรงงาน มหาวิทยาลัยหลายแห่งเริ่มปรับหลักสูตรด้านเทคโนโลยี แต่ไม่ทันกับความต้องการตลาด และตอนนี้ที่ประเทศกำลังเผชิญกับภาวะสมองไหล คนเก่งจำนวนมากไปทำงานกับบริษัทต่างชาติ เพราะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในประเทศยังเล็กเกินไป

“ทางออก คือ ไทยต้องดึงดูดบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกเข้ามาลงทุนสร้างเทคโนโลยีเชิงลึกในไทย ไม่ใช่แค่จัดตั้งโครงสร้างพื้นฐานเท่านั้น เมื่อเราดึงบริษัทใหญ่ ๆ เข้ามาได้ มันจะสร้างเป็น Ecosystem ของเทคโนโลยีในประเทศ เกิดเป็น Supply Chain ของเทคโนโลยีได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ตอนนี้เรามี Data Center หรือ Hyperscaler เข้ามาตั้งในไทยแล้ว แต่ยังมีอีกหลายส่วนมากในฝั่งเทคโนโลยี เช่น การผลิตซอฟต์แวร์ หรือเทคโนโลยีเฉพาะทาง ที่เรายังสามารถพัฒนาให้เกิดขึ้นได้ในประเทศ”

นอกจากนี้รัฐต้องออกนโยบายเอื้อต่อการดึงดูดและรักษาบุคลากรทั้งต่างชาติและไทย เช่น กลุ่ม Digital Nomad ให้เข้ามาอยู่และทำงานในไทยง่ายขึ้น ผลพลอยได้จะไม่ใช่แค่เศรษฐกิจหรือเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นเท่านั้น แต่ยังจะเป็น “จุดเริ่มต้นของการอัปสกิลคนไทย” เพราะเมื่อมีผู้เชี่ยวชาญเข้ามาอยู่เยอะขึ้น Community ของคนที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีในประเทศก็จะใหญ่ขึ้น เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เจอกรณีศึกษาใหม่ๆ มากขึ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วจะทำให้บุคลากรไทยแข็งแกร่งขึ้น

“คนไทย” พร้อมแค่ไหนกับการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี?

พชร แบ่งบุคลากรออกเป็น 3 กลุ่มหลักที่ต้องพัฒนาอย่างสอดคล้องกัน ซึ่งทั้งสามกลุ่มต้องได้รับการพัฒนาอย่างต่างรูปแบบ แต่เป้าหมายเดียวกัน คือ ยกระดับศักยภาพของคนไทยให้พร้อมรองรับเศรษฐกิจดิจิทัลในอนาคต ได้แก่

(1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญ (Expert) ไทยมีนักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังขาด demand จากภาคอุตสาหกรรม ทำให้ผลงานวิจัยต่อยอดเชิงพาณิชย์ได้จำกัด เสนอให้ดึงบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกมาตั้งศูนย์วิจัยในไทย เพื่อสร้างบุคลากรระดับสูง สนับสนุน “บริษัท Deep Tech ไทย” พัฒนา Small Language Model (SLM) ที่ต้นทุนต่ำกว่า แต่ใช้จริงได้หลากหลาย จะกลายเป็น “ฐานกำลังทางเทคโนโลยี” ที่สำคัญของประเทศ

(2) กลุ่มวิศวกร (Engineer) ต้องสร้าง “Demand” ให้เกิดในตลาด โดยกระตุ้นให้รัฐและเอกชนลงทุนด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะนี่คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง (High ROI) การสร้างโอกาสให้วิศวกรได้พัฒนาแพลตฟอร์มและผลิตภัณฑ์จริง จะช่วยดึงดูดคนเก่งให้อยู่ในประเทศ

(3) กลุ่มผู้ใช้งานทั่วไป (User) แม้คนไทยใช้ AI เยอะ แต่ยังขาด AI Literacy จำเป็นต้องอบรมให้เข้าใจหลักการและขีดจำกัดของ AI เพื่อใช้เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่ใช่แค่เครื่องมือหาคำตอบ โดยเฉพาะผู้ที่มี “ความรู้เฉพาะทาง (Domain Knowledge)” จะใช้ AI ได้อย่างทรงพลังในการเพิ่ม Productivity และรายได้ขององค์กร

Data คือ สินทรัพย์ใหม่ของประเทศ

ศ.ดร.ธีรณี อจลากุล กล่าวว่า “ข้อมูล” คือ ทรัพยากรแห่งศตวรรษที่ 21 ถ้าประเทศไทยบริหารข้อมูลให้ดี เราจะย่นระยะทางสู่ Quick Big Win ได้มาก โดยสิ่งที่ทำได้ทันทีและจะสร้างผลระยะยาว คือ “การสร้าง Soft Infrastructure” โดยเฉพาะการฝ่าด่านเรื่องการบูรณาการข้อมูลของภาครัฐ (Data Integration) เพื่อให้ใช้ประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและสังคม

“การเชื่อม Data ระหว่างหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน จะทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์ในเชิงวิเคราะห์และเศรษฐกิจได้มาก เช่น สาธารณสุข ใช้ Big Data ลดภาระงบประมาณสุขภาพ ท่องเที่ยว ใช้ข้อมูลพฤติกรรมนักท่องเที่ยววางนโยบายดึงดูดกลุ่มเป้าหมาย เกษตร ใช้ข้อมูลพยากรณ์ผลผลิตหรือป้องกันภาวะล้นตลาดหรือขาดแคลน หากรัฐบาลสั่งการเชื่อมข้อมูล ซึ่งแม้จะเป็นคำสั่งที่ใช้เวลา 4 เดือน แต่จะให้ผลระยะยาว เพราะพอเชื่อมแล้ว รัฐบาลไทยไม่เคย “ปิดท่อ” อีกเลย ข้อมูลจะไหลและใช้ต่อได้เรื่อยๆ”

ศ.ดร.ธีรณี  ชี้ว่า “Unique Data Asset” คือ ข้อมูลที่เข้าถึงยาก แต่ใช้ประโยชน์ได้จริง และไทยมีจุดแข็งมากในฝั่ง “ข้อมูลภาครัฐ” เช่น ข้อมูลด้านความมั่นคง การท่องเที่ยว และ Mobility Data อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือข้อมูลเหล่านี้ยังไม่ถูกรวมเป็นระบบเดียว และยังเปิดให้เอกชนเข้าถึงได้น้อย ทำให้ต่างชาติได้เปรียบ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม e-commerce หรือ OTA ระดับโลกมีข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคละเอียดมาก ขณะที่รัฐไทยยังขาดข้อมูลในระดับเดียวกัน
เธอเน้นว่า Quick Win ที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้เมื่อรัฐและเอกชน แชร์ข้อมูลร่วมกันแบบปลอดภัยและโปร่งใส (Trusted Data Sharing) นอกจากนี้ ไทยต้องลงทุนในระบบ “AI for Policy” เพื่อให้การตัดสินใจเชิงนโยบายมีข้อมูลรองรับ ลดการตัดสินใจจากสมมติฐานหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว

ตัวอย่างความคืบหน้าที่เกิดขึ้นแล้วคือโครงการ “Travelink Dashboard” ที่บูรณาการข้อมูลตรวจคนเข้าเมืองกับข้อมูลการเดินทางจากผู้ให้บริการเครือข่าย เพื่อวิเคราะห์เส้นทางนักท่องเที่ยวในไทยนับเป็นต้นแบบของ “การใช้ข้อมูลภาครัฐเพื่อเศรษฐกิจ” ที่เป็นรูปธรรม โดยเธอเสนอว่า “ข้อมูลของรัฐที่สร้างจากภาษีประชาชน” ควรเปิดให้ภาคเอกชนใช้ได้มากที่สุดเท่าที่ปลอดภัย เพื่อกระตุ้นนวัตกรรมและเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ

เมื่อข้อมูลภาครัฐเปิดมากขึ้น จะช่วยให้ SMEs และผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงโอกาสใหม่ เช่น ห้างในภูเก็ตปรับขนาดเสื้อผ้าตามพฤติกรรมนักท่องเที่ยวอาหรับหลังใช้ข้อมูลจาก Dashboard ภาครัฐและมียอดขายที่เพิ่มขึ้นทันที ตัวอย่างนี้ชี้ชัดว่า การเข้าถึงข้อมูลอย่างถูกต้องคือทางลัดสู่การเพิ่มประสิทธิภาพและผลกำไรได้อย่างไร ศ.ดร.ธีรณี  กล่าว 

บทสรุปภาพรวม

เวทีเสวนาครั้งนี้สะท้อนภาพใหญ่ของ “เศรษฐกิจเทคโนโลยีเชิงลึก” (Deep Tech Economy) ว่าไม่ได้หมายถึงแค่การพัฒนาเทคโนโลยีล้ำหน้าอย่าง AI, Robotics, IoT หรือ Big Data เท่านั้น แต่คือ การหาจุดสมดุลระหว่าง “เทคโนโลยี” กับ “คน” เพื่อให้ AI และนวัตกรรมใหม่ๆ กลายเป็น “เครื่องมือสร้างงาน” มากกว่า “เครื่องมือแย่งงาน”

Quick Big Win ของไทยในสนามเทคโนโลยีโลกวันนี้ คือ “ต่อยอดศักยภาพที่มีอยู่” จากโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมสู่การดึงดูด FDI พร้อมเดินหน้าสร้างนโยบายและระบบภาษีที่ทันสมัยเพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็น AI Hub และ Data Hub ของภูมิภาคอาเซียน ได้จริงในอนาคตอันใกล้

ทั้งสามท่านต่างเห็นตรงกันว่า ประเทศไทยมีความพร้อมหลายด้าน ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และฐานข้อมูล แต่สิ่งสำคัญคือการเชื่อมโยงและลงมือทำจากสิ่งที่มีอยู่แล้วให้เกิดผลจริง โดยเฉพาะการบูรณาการภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษาให้ทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ

“ไทยมีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็น “AI Hub แห่งอาเซียน” หากสามารถพัฒนา ecosystem ให้ครบวงจร ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) เช่น Data Center และการเชื่อมต่อข้อมูล ไปจนถึง การประยุกต์ใช้ (Application) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนของภาคธุรกิจ เมื่อเรานำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ได้อย่างถูกที่ถูกทาง มันจะไม่ใช่การแย่งงานคน แต่เป็นการเพิ่มศักยภาพให้คนทำงานได้ดีขึ้น สร้าง Productivity และขีดความสามารถการแข่งขันในระดับโลก” พชร กล่าว

“People Infrastructure ยังต้องเดินคู่กับ Demand ก่อนเร่งผลิตคนด้านเทคโนโลยี ต้องสร้าง Demand Pool ให้ธุรกิจทั้ง SMEs และ Corporate ทุกระดับเห็นความจำเป็นในการใช้บุคลากรเทคโนโลยีเพื่อให้การผลิตคนสอดคล้องกับตลาดจริง Reskill-Incentive จะเป็นยุทธศาสตร์สำคัญสู่เศรษฐกิจ AI รัฐบาลจัดแรงจูงใจทางภาษีและนอกภาษีเพื่อสนับสนุนองค์กรที่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโดย “ไม่ลดคนออกจากระบบงาน” ซึ่งจะช่วยให้การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจ AI เป็นไปอย่างราบรื่นและทั่วถึง” ศ.ดร.ธีรณี เสริม

“การเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรม-การศึกษา-ภาครัฐ ต้องชัดเจนมากขึ้น เราต้องเชื่อมโยงการลงทุนและนโยบายให้สอดคล้องกัน ประเทศต้องมีเสถียรภาพมากพอให้เอกชนกล้าลงทุน ถ้าเราวางรากฐานให้ดี ไทยสามารถเป็นผู้นำเทรนด์ได้แน่นอน” จรีพร ทิ้งท้าย

ทั้งหมดนี้ คือ การเริ่มต้นที่ไม่จำเป็นต้องรออนาคต เพราะอนาคตเริ่มต้นได้ตั้งแต่วันนี้ หากทุกภาคส่วนเดินไปในทิศทางเดียวกัน และสุดท้าย เทคโนโลยีจะไม่มีความหมายเลย หากเราไม่ใช้มันเพื่อ “คน” และเพื่อสร้าง “อนาคตที่ดีร่วมกัน” นี่คือหัวใจของ Deep Tech Economy ที่แท้จริงของประเทศไทย




ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ