ปรับพ.ร.ก. ดัน “สงครามไซเบอร์” โต้กลับแก๊งสแกมข้ามพรมแดน ผนึก ASEAN-UN-EU เร่งปราบสแกมระดับภูมิภาค

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ปรับพ.ร.ก. ดัน “สงครามไซเบอร์” โต้กลับแก๊งสแกมข้ามพรมแดน ผนึก ASEAN-UN-EU เร่งปราบสแกมระดับภูมิภาค

Date Time: 22 ต.ค. 2568 09:49 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

UN-EU ยื่นมือช่วย ASEAN วางกรอบนโยบายกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัล รมว.ดีอี ดัน ‘ร่างพ.ร.ก. Cyber War’ โต้กลับสแกมเมอร์ข้ามพรมแดน เตรียมลงนามอนุญสัญญาสหประชาชาติ

Latest


ปฏิเสธไม่ได้ว่าการขยายตัวอย่างรวดเร็วของแพลตฟอร์มดิจิทัลนำมาซึ่งความเสี่ยงใหม่ๆ เทคโนโลยีที่ช่วยให้เราทำทุกอย่างได้รวดเร็ว ภายใต้การขับเคลื่อนของอัลกอริทึมและระบบที่สั่งสมข้อมูลของผู้ใช้มหาศาลจนเกิดเป็นช่องทางหาโอกาสของมิจฉาชีพ การเผยแพร่ข้อมูลผู้ใช้นำมาซึ่งการแพร่ระบาดอย่างหนักของสิ่งที่น่ากลัวไม่แพ้โรคภัย

สแกมเมอร์ ข่าวปลอม การละเมิดสิทธิในโลกออนไลน์ ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง…

ปีที่ผ่านมาทั้งภาครัฐและประชาชนต่างเผชิญภัยคุกคามเหล่านี้ข้ามพรมแดน ไม่มีประเทศใดหรือภาคส่วนใดสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้เพียงลำพัง เพราะโลกดิจิทัลทำให้ระบบของแพลตฟอร์ม และโปรแกรมอิเล็กทรอนิกส์ไร้พรมแดน

สิ่งนี้จึงตอกย้ำว่าการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลต้องตั้งอยู่บน “หลักการร่วมกัน” การมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน รัฐบาล แพลตฟอร์ม ภาคประชาสังคม สถาบันการศึกษา และผู้ใช้งาน และเหนือสิ่งอื่นใดคือ “การลงมือร่วมกัน” ในระดับภูมิภาค

“ที่ผ่านมาไทยประเมินภัยไซเบอร์ต่ำเกินไป และปล่อยให้ปัญหานี้หยั่งรากลึก แต่เมื่อเห็นความเคลื่อนไหวและความร่วมมือของหลายฝ่ายในวันนี้ รวมถึงการจับกุมและการบังคับใช้กฎหมายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เชื่อมั่นว่า...เรายังมีความหวัง เพราะโลกออนไลน์ ‘ไม่มีพรมแดน’ และความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเป็นสิ่งที่ทุกประเทศเผชิญร่วมกันได้”

นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวในพิธีเปิดการประชุมฯ ‘ASEAN–UNESCO Multistakeholder Forum on the Governance of Digital Platforms’ ที่จัดขึ้นโดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ร่วมกับ สำนักเลขาธิการอาเซียน, UNESCO, และโครงการ Global Initiative on the Future of the Internet (GIFI) ภายใต้สถาบัน European University Institute (EUI) เพื่อหารือปัญหาพร้อมวางกรอบนโยบาย “การกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใสและเป็นธรรม”

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการประสานความร่วมมือระดับภูมิภาค
และการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ด้านแนวปฏิบัติในระดับนานาชาติที่จะนำไปสู่ ร่างข้อเสนอแนะการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลในอาเซียนอย่างมีธรรมาภิบาล” (Draft Recommendations on Digital Platform Governance in ASEAN) ที่สะท้อนถึงเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างกรอบความร่วมมือของภูมิภาค ทั้งการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลบนพื้นฐานของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน (Multistakeholder Approach) การเคารพสิทธิมนุษยชน และการสร้างพื้นที่ดิจิทัลที่ปลอดภัย พร้อมเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางดิจิทัลให้แก่ผู้ใช้ทุกคนในภูมิภาค

Maki Katsuno-Hayashikawa, Director of the UNESCO Liaison Office to ASEAN and the Regional Office in Jakarta กล่าวว่า UNESCO พร้อมให้การสนับสนุนความร่วมมือนี้อย่างเต็มที่เพื่อให้ภูมิภาคอาเซียนก้าวสู่การเป็นต้นแบบของการกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างมีธรรมาภิบาลที่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนสากล

ขณะที่ H.E. Sujiro Seam, Ambassador of the European Union to ASEAN กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของความร่วมมือระหว่าง ASEAN โดยมีประเทศไทยเป็นผู้นำและองค์การ UNESCO เพื่อร่วมกันกำหนดอนาคตของธรรมาภิบาลแพลตฟอร์มดิจิทัลบนพื้นฐานของค่านิยมร่วม พร้อมเน้นย้ำว่า ความท้าทายของโลกดิจิทัลในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่เพียงภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่ง

สแกมระบาดหนักทั่วภูมิภาค

ด้าน นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า การประชุมครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลดิจิทัลให้สอดคล้องกับหลักธรรมาภิบาลที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล พร้อมทั้งคงไว้ซึ่งความเชื่อมโยงกับบริบทของประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

โดยไทยได้มีการหารือถึงปัญหาที่เร่งดำเนินการหลัก คือ แนวทางการเก็บภาษีและกำกับดูแลแพลตฟอร์มดิจิทัลที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในมิติของผู้ใช้ ซึ่งส่งผลถึงอำนาจการต่อรองของแพลตฟอร์มในการกำกับดูแล ต่อเนื่องด้วยเรื่องความโปร่งใสและความรับผิดชอบของแพลตฟอร์มต่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ โดยเฉพาะการผลักดันอย่างจริงจังในประเด็น “การต่อต้านสแกมบนโลกออนไลน์” ที่ได้กลายเป็นวาระแห่งชาติของไทยในขณะนี้

“ปัญหาสแกมเมอร์กำลังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นและทำลายรากฐานของเศรษฐกิจดิจิทัลในภูมิภาค”

ที่ผ่านมาในบริบทของภูมิภาคอาเซียนได้มีการจัดตั้ง คณะทำงานอาเซียนด้านการต่อต้านสแกมออนไลน์ (ASEAN Working Group on Anti-Online Scams) ในปี 2024 และได้มีการรับรอง “Bangkok Digital Declaration” ที่การประชุมรัฐมนตรีดิจิทัลอาเซียนครั้งที่ 5 เมื่อเดือนมกราคม 2025 ซึ่งถือเป็นก้าวย่างที่เป็นรูปธรรม โดยหลังจากนั้นประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในการร่างข้อตกลงเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน (ASEAN Digital Economy Framework Agreement - DEFA) พร้อมทั้งการออกแผนแม่บทดิจิทัลแห่งชาติปี 2030

ทั้งนี้ในมิติมหภาคที่เข้มข้นขึ้น นายไชยชนก กล่าวเพิ่มเติมในฐานะหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยที่จะเข้าร่วมพิธีลงนาม “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านอาชญากรรมไซเบอร์” (United Nations Convention Against Cybercrime) และการประชุมระดับสูงที่กรุงฮานอย ประเทศเวียดนามในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งถือเป็น “สนธิสัญญาระดับโลกฉบับแรก” ที่ครอบคลุมการรับมือกับภัยไซเบอร์อย่างเป็นระบบ

อนุสัญญานี้จะเป็นกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อเสริมสร้างความร่วมมือทางกฎหมายและเพิ่มประสิทธิภาพการรับมือภัยไซเบอร์ข้ามพรมแดนในยุคดิจิทัล บางส่วนของอนุสัญญาครอบคลุมเรื่องค้ามนุษย์ การระงับทรัพย์สินออนไลน์ และประเด็นอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสแกมเมอร์เป็นวงกว้าง

ดัน ‘ร่างฯ Cyber War’ โต้กลับสแกมเมอร์ข้ามพรมแดน

นายไชยชนก ยืนกรานถึงความเร่งด่วนในการจัดการ “ปัญหาสแกมเมอร์” เพิ่มเติม พร้อมกับระบุถึง การเตรียมร่างกฎหมายเพิ่มเติมเพื่อเปิดช่องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถตอบโต้เชิงรุกในโลกออนไลน์ ในฐานะเครื่องมือของไทยในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้ในเชิงรุก โดยล่าสุดอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่วมกับสำนักงานกฤษฎีกาและกำลังเร่งให้ร่างฯ ออกมาภายใน 1-2 เดือนนี้

“ปัญหาสแกมเมอร์ในปัจจุบันไม่ใช่แค่สร้างผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจ แต่กำลังส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของคนไทย ทำลายชีวิตคนไทยและนำไปสู่ความไม่ไว้ใจในการใช้งานแพลตฟอร์มอื่นๆ ซึ่งล่าสุดประเด็นดังกล่าวถูกประกาศให้เป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ผ่านที่ประชุมคณะรัฐมนตรี พร้อมทั้งจัดตั้งคณะทำงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับงานจัดการปัญหานี้”

นายไชยชนก ระบุว่า ก่อนหน้านี้หน่วยงานที่มีการจัดตั้งขึ้นจะเริ่มดำเนินการก็ต่อเมื่อมีผู้มาแจ้งความหรือร้องขอเท่านั้น หน่วยงานจะสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ก็ต่อเมื่อเกิดการกระทำแล้วถึงจะมีการดำเนินการ แต่ ณ ปัจจุบันที่ประเด็นดังกล่าวถือเป็นวาระแห่งชาติ และมีหลักฐานที่สามารถระบุถึงต้นตอของปัญหาให้เห็นชัดเจนในเวทีโลก
หน่วยงานสามารถพิจารณาข้อมูลจากฐานข้อมูลที่มีอยู่จากการประสานกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งหน่วยงานบังคับคดี ผู้ให้บริการสัญญาณโครงข่าย และธนาคารต่างๆ เพื่อนำมาตรวจสอบร่วมกันและดำเนินการต่อไปได้

ขณะเดียวกันได้ยกตัวอย่างถึงกฎหมาย Active Cyber Defense 2025 ของประเทศญี่ปุ่นที่มีมาตรการตอบโต้ทันทีเมื่อระบุได้ถึงภัยคุกคามที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Imminent Threats) รวมถึงทิศทางการร่างกรอบกฎหมายในลักษณะเดียวกันของประเทศอื่นๆ ที่มีความพยายามแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น สหรัฐอเมริกาและเวียดนาม

พร้อมทั้งยกตัวอย่างถึงกรณีศึกษาการตอบโต้ เช่น “Scam Baiting” เพื่อเข้าถึงระบบข้อมูลของฝั่งที่กระทำผิดเพื่อยืนยันการกระทำผิด จากนั้นจึงพิจารณามาตรการที่เหมาะสม เช่น ในบางกรณีอาจมีการสืบสวนลึกถึงขั้นการพยายามดึงข้อมูลกลับคืนมาเพื่อดูว่าอาชญากรรมไซเบอร์กลุ่มนั้นเป็นใคร โครงสร้างเป็นอย่างไร แม้กระทั่งการส่งไวรัสเข้าไปหรือการจัดตั้งหน่วยงานที่มีภารกิจเฉพาะเพื่อปฏิบัติการทางไซเบอร์อื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้จะอยู่ภายใต้ พ.ร.ก. ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี มีกรอบเวลาและกระบวนการอนุมัติจากคณะกรรมการที่ชัดเจน รวมไปถึงเป็นไปตามกรอบกฎหมายระหว่างประเทศ 

ทั้งนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม โดยสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ได้พัฒนากรอบแนวทางและกลไกสำคัญเพื่อส่งเสริมการกำกับดูแลดิจิทัลอย่างมีความรับผิดชอบ หนึ่งในมาตรการสำคัญ คือ พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมความโปร่งใสและการแข่งขันที่เป็นธรรมในตลาดแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยใช้กลไกการกำกับดูแลตนเองที่เปิดโอกาสให้หลายภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมเพื่อส่งเสริมการให้บริการอย่างเป็นธรรม โปร่งใส และมีความรับผิดชอบ 

นอกจากนี้ยังมีการสนับสนุนให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีผ่านพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ “พระราชกำหนดบัญชีม้า (Emergency Decree on Mule Accounts)” ซึ่งกำหนดให้ผู้ให้บริการสื่อสังคมออนไลน์ต้องระงับหรือลบข้อมูลเท็จหรือข้อมูลที่อาจก่อให้เกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีเพื่อเป็นการเสริมหลัก “ความรับผิดชอบในการดูแล” (Duty of Care) ของแพลตฟอร์มดิจิทัล 

ในขณะเดียวกัน กระทรวงฯ ยังเร่งผลักดันในการแก้ปัญหาการหลอกลวงออนไลน์ (Online Scam) พร้อมส่งเสริมให้ประชาชนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีพื้นฐานอย่างเสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นอินเทอร์เน็ตหรือปัญญาประดิษฐ์ (AI) พร้อมทั้งยกระดับทักษะด้านการรู้เท่าทันดิจิทัล (Digital Literacy) และการรู้เท่าทันสื่อและข้อมูล (Media and Information Literacy-MIL) เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างปลอดภัย รอบคอบและมีความรับผิดชอบ 

“ภายใต้ความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ประเทศไทยมุ่งพัฒนาและกำกับดูแลระบบนิเวศแพลตฟอร์มดิจิทัลให้มีความสมดุล ซึ่งนโยบายเหล่านี้ถือเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนธรรมาภิบาลดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ความปลอดภัยสาธารณะและความเชื่อมั่นของประชาชน สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงฯ ที่มุ่งเน้นผลลัพธ์เชิงรูปธรรมในระยะสั้น เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมที่สำคัญตามกรอบนโยบายของรัฐบาล”


ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -   

 





Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ