สหรัฐฯ ยึดบิตคอยน์ ปราบเจ้าพ่อสแกมเมอร์ข้ามชาติ ร่วมมืออังกฤษรื้อโครงสร้างอาชญากรรมระดับโลก

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

สหรัฐฯ ยึดบิตคอยน์ ปราบเจ้าพ่อสแกมเมอร์ข้ามชาติ ร่วมมืออังกฤษรื้อโครงสร้างอาชญากรรมระดับโลก

Date Time: 16 ต.ค. 2568 13:26 น.

Video

Amazon ธุรกิจนี้เจ๋งยังไง ทำไมถึงเป็นหุ้นลูกรักของใครหลายคน ? | Digital Frontiers EP.48

Summary

สหรัฐฯ ยึด 127,000 BTC มูลค่ารวมกว่า 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ปราบเจ้าพ่อสแกมเมอร์ตัดท่อน้ำเลี้ยงเครือข่ายสแกมข้ามชาติในกัมพูชา โดยร่วมมืออังกฤษคว่ำบาตรพร้อมรื้อโครงสร้างอาชญากรรมระดับโลก

Latest


ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มอาชญากรที่อยู่เบื้องหลัง “อุตสาหกรรมหลอกลงทุนและโรแมนซ์สแกม” หรือที่บางครั้งเรียกกันว่า “Pig Butchering” การหลอกลวงให้ลงทุนในคริปโตฯ ก่อนที่จะขโมยเงินทั้งหมดไป ซึ่งอาชญากรรมเหล่านี้ได้กวาดเงินจากเหยื่อทั่วโลกไปแล้วหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ 

การหลอกลวงที่ทำกันในระดับอุตสาหกรรมนี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อเหยื่อที่ถูกล่อลวงให้เสียทรัพย์ แต่เหยื่อกลุ่มที่ถูกหลอกให้ไปใช้แรงงานก็ได้รับผลกระทบไม่แพ้กัน จนเรียกได้ว่าเป็นอาชญากรรมข้ามชาติที่รัฐบาลหลายประเทศพยายามจะล้มล้างลงให้ได้

ซึ่งล่าสุด เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (14 ตุลาคม) ทางกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ หรือ DOJ (Department of Justice) ออกมาประกาศว่า ได้ทำการยึดบิตคอยน์ได้กว่า 127,271 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าราว 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกระเป๋าเงินคริปโตฯ ของชายคนหนึ่งซึ่งเป็นหัวโจกใหญ่ ผู้ควบคุมขบวนการหลอกลวงขนาดใหญ่แบบ “Pig Butchering” ที่มีฐานอยู่ในกัมพูชา

การยึดทรัพย์ครั้งนี้ถือเป็นการยึดทรัพย์สินมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ DOJ สหรัฐฯ เคยดำเนินการมา และยังเป็นความร่วมมือระดับโลกที่ไม่ได้มีแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสหราชอาณาจักรที่ได้ประกาศคว่ำบาตรเครือข่ายธุรกิจ อายัดทรัพย์ และยื่นฟ้องดำเนินคดี เพื่อปราบขบวนการหลอกลวงระดับโลกนี้ลง


ผู้อยู่เบื้องหลัง: “เฉิน จื้อ” และ “Prince Group”

เริ่มต้นที่ศาลรัฐบาลกลางบรูคลิน นิวยอร์ก ได้เปิดคำฟ้องต่อ “เฉิน จื้อ” (Chen Zhi) หรือที่รู้จักอีกชื่อในนาม “Vincent” ชายอายุ 38 ปี ชาวจีนอพยพที่ถือสัญชาติอังกฤษ-กัมพูชา ในข้อหาสมคบคิดฉ้อโกงและฟอกเงิน ซึ่งเฉิน จื้อนี้คือ ผู้ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจ Prince Group กลุ่มธุรกิจข้ามชาติที่ตั้งอยู่ในกัมพูชา

โดยธุรกิจของ Prince Group ตามรายงานของศาลฯ พบว่า เป็นหนึ่งในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติรายใหญ่ที่สุดของเอเชีย ดำเนินงานเป็นศูนย์หลอกลวง (Scam Compounds) อย่างน้อย 10 แห่งทั่วกัมพูชา

Joseph Nocella อัยการประจำเขตของนิวยอร์ก กล่าวว่า “เฉิน จื้อ เป็นผู้อยู่เบื้องหลังหนึ่งในการฉ้อโกงการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และเป็นตัวการสำคัญของอุตสาหกรรมมืดที่กำลังระบาดไปทั่วโลก”

เครือข่ายอาชญากรรม Prince Group (ภาพจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ)
เครือข่ายอาชญากรรม Prince Group (ภาพจากกระทรวงการคลังสหรัฐฯ)

เขากล่าวเสริมว่า “กลโกงของ Prince Group สร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ และก่อความเดือดร้อนให้กับเหยื่อทั่วโลก รวมถึงในนิวยอร์ก โดยเหยื่อจำนวนมากยังถูกค้ามนุษย์ และถูกบังคับ คุกคามให้ทำงานอีกด้วย”

โดยเครือข่ายเหล่านี้มักใช้โฆษณางานปลอมในสายเทคโนโลยีล่อลวงคนจากกว่า 60 ประเทศให้เข้ามาทำงานในศูนย์หลอกลวง เมื่อเหยื่อเดินทางมาถึงจะถูกยึดพาสปอร์ตและบังคับให้ทำงานหลอกเงินคนอื่นทางออนไลน์ หากขัดขืนก็ถูกทำร้ายหรือลงโทษอย่างรุนแรง ศูนย์เหล่านี้จึงเชื่อมโยงทั้ง การค้ามนุษย์ การฉ้อโกง การฟอกเงิน และบ่อนออนไลน์ผิดกฎหมาย

อัยการระบุว่า Prince Group ดำเนินธุรกิจในกว่า 30 ประเทศทั่วโลก มีบริษัทลูกกว่า 100 แห่ง และยังมีฐานอยู่ในพม่า ลาว และกัมพูชา ซึ่ง Prince Group ไม่ใช่แค่แก๊งหลอกลวงทั่วไป แต่เป็น “ศูนย์กลางของอาชญากรรมทางการเงินและการฟอกเงิน” ที่มีระบบฟินเทคและโครงสร้างพื้นฐานซับซ้อนระดับโลก

นอกจากนี้ นับตั้งแต่ปี 2015 เฉิน จื้อ และผู้บริหารได้ใช้อิทธิพลทางการเมืองในหลายประเทศเพื่อปกป้องให้ธุรกิจผิดกฎหมายของตัวเองดำเนินไปได้ และอัยการยังระบุด้วยว่ากลุ่มนี้มีความสัมพันธ์กับเจ้าหน้าที่จีนบางส่วนอีกด้วย

ในหลักฐานการฟ้องยังพบว่า เฉิน จื้อ เก็บสมุดบัญชีใต้โต๊ะที่บันทึกการติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ และภาพถ่ายที่เผยให้เห็นการทำร้ายเหยื่อแรงงานในศูนย์หลอกลวง รวมถึงข้อมูลของโทรศัพท์กว่า 1,200 เครื่องที่ใช้ควบคุมบัญชีโซเชียลกว่า 76,000 บัญชีทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ทาง DOJ ประกาศว่า เฉิน จื้อ ยังคงอยู่ระหว่างการหลบหนี


สหรัฐ-อังกฤษ จับมือคว่ำบาตร ยึดทรัพย์

เนื่องจากเฉิน จื้อที่มีสัญชาติอังกฤษ-กัมพูชา มีทรัพย์สินมหาศาลอยู่ในสหราชอาณาจักรด้วย ส่งผลให้ทางสหราชอาณาจักรได้ร่วมมือในเปิดปฏิบัติการครั้งใหญ่ด้วย

โดยทาง DOJ ของสหรัฐฯ ได้ประกาศให้ Prince Group เป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (Transnational Criminal Organization) พร้อมกับประกาศคว่ำบาตร เฉิน จื้อ และเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกว่า 100 รายและหน่วยงาน ที่มีส่วนพัวพันกับกิจกรรมผิดกฎหมาย

พร้อมกับยึดบิตคอยน์ 127,271 เหรียญ นับเป็นการยึดทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ 

โดยบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชน Elliptic ชี้ว่า บิตคอยน์ที่ถูกยึดในครั้งนี้อาจเป็นเหรียญเดียวกับที่เคยถูกรายงานว่า “ถูกขโมย” จากบริษัทขุดคริปโตฯ จีนชื่อ Lubian เมื่อปี 202 และเอกสารของ DOJ เองก็มีระบุว่า Lubian มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการฟอกเงินของเฉิน จื้อ โดยใช้การขุดคริปโตฯ เป็นช่องทางเปลี่ยนเงินสกปรกให้กลายเป็นเหรียญใหม่ที่ไม่มีประวัติอาชญากรรม เพื่อกลบที่มาของเงิน

ในฝั่งของสหราชอาณาจักร หลังมีการตรวจสอบก็พบว่า เครือข่ายของเฉิน จื้อมีการตั้งบริษัทในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน (British Virgin Islands) เพื่อใช้เป็นช่องทางลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยทรัพย์สินของเครือข่ายประกอบไปด้วย อาคารสำนักงานในใจกลางลอนดอน มูลค่า 133 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คฤหาสน์ทางตอนเหนือของลอนดอน มูลค่า 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และอพาร์ตเมนต์อีก 17 ห้องทั่วเมือง

ซึ่งทางรัฐบาลสหราชอาณาจักรได้ประกาศคว่ำบาตรเครือข่ายธุรกิจของเฉิน จื้อ และได้ทำการยึดทรัพย์สินทั้งหมดไว้แล้ว 

นอกจากนี้ ทางองค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ หรือ Amnesty International ออกมาเปิดโปงด้วยว่า ธุรกิจที่เชื่อมโยงกับ Prince Group อย่างน้อย 4 แห่ง ได้แก่ Prince Group, Jin Bei Group, Golden Fortune Resorts World และ Byex Exchange

ซึ่งทั้งหมดถูกคว่ำบาตรโดยรัฐบาลอังกฤษ และสองแห่งในนั้น (Jin Bei และ Golden Fortune) ถูกระบุในรายงานของ Amnesty International เมื่อต้นปีว่ามีการใช้แรงงานบังคับและทรมานแรงงานในศูนย์หลอกลวงในกัมพูชา


จุดเปลี่ยนของการปราบอาชญากรรมทางการเงินโลก

Ari Redbord หัวหน้าฝ่ายนโยบายระดับโลกของ TRM Labs บริษัทวิเคราะห์และติดตามธุรกรรมคริปโตฯ  กล่าวว่า “การยึดทรัพย์ครั้งนี้ไม่เพียงยิ่งใหญ่ในแง่มูลค่าที่เป็นตัวเลขเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นอะไรอีกหลายอย่าง”

ความจริงแล้ว แม้ว่าการยึดครั้งนี้จะมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ก็ยังคงเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของรายได้ทั้งหมดที่เกิดจากศูนย์หลอกลวงทั่วภูมิภาคนี้

เขาอธิบายเพิ่มเติมว่า ศูนย์หลอกลวงเหล่านี้ไม่ใช่แค่การหลอกลวงรายกรณีที่กระจัดกระจาย แต่เรียกได้ว่าเป็น “โรงงานหลอกลวง” ขนาดใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม โดยบังคับใช้แรงงาน และยกระดับความรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีคริปโตฯ พร้อมเชื่อมโยงกันผ่านโครงสร้างฟอกเงินที่ซับซ้อน ครอบคลุมตั้งแต่กัมพูชา เมียนมา ลาว จีน ไปจนถึงภูมิภาคอื่น ๆ ทั่วโลก

ซึ่งปฏิบัติการที่เป็นความร่วมมือครั้งใหญ่ของสองประเทศนี้ “ได้โจมตีเข้าไปถึงแก่นกลางของระบบอาชญากรรม ทั้งด้านปฏิบัติการและการเงินของเครือข่ายศูนย์หลอกลวงข้ามชาติ” Ari Redbord กล่าว

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา นักวิจัยที่ติดตามขบวนการเหล่านี้ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า ศูนย์หลอกลวงเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยนำเงินที่ได้จากอาชญากรรมไปต่อยอดลงทุนในเทคโนโลยีหลอกลวงที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ

และในช่วงตลอด 2 ปีที่ผ่านมา ยังพบแนวโน้มที่น่ากังวลว่าศูนย์หลอกลวงลักษณะเดียวกันกำลังขยายตัวออกไปนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว โดยพบว่า มีการขยายไปสู่ตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกา และแอฟริกาตะวันตก

Ari Redbord กล่าวทิ้งท้ายว่า “สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรกำลังรื้อถอนเครื่องยนต์ที่หล่อเลี้ยงอาชญากรรมเหล่านี้อยู่ ด้วยการมุ่งเป้าทำลายโครงสร้างทางการเงิน ตั้งแต่บริษัทบังหน้า ธนาคาร ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ที่ใช้หมุนเวียนและซ่อนเงินสกปรก”

“นี่แหละคือภาพของยุทธการปราบฟอกเงินแห่งศตวรรษที่ 21 ปฏิบัติการที่ทำอย่างเป็นระบบ ใช้ข้อมูลเป็นศูนย์กลาง ประสานงานทั่วโลก และเจาะลึกถึงโครงสร้างการเงินของอาชญากรรมในระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน” Ari Redbord กล่าวสรุป


ที่มา: Wired, OFAC, CNBC, BBC


ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ