นวัตกรรมใหม่อาจทำลายธุรกิจเก่า แต่คือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อ่านบทเรียน “3 นักเศรษฐศาสตร์โนเบล”

Tech & Innovation

Tech Companies

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

นวัตกรรมใหม่อาจทำลายธุรกิจเก่า แต่คือพลังขับเคลื่อนเศรษฐกิจ อ่านบทเรียน “3 นักเศรษฐศาสตร์โนเบล”

Date Time: 15 ต.ค. 2568 14:53 น.

Video

จาก "รวยเงิน จนเวลา" สู่เกษียณ 35! ของพอล ภัทรพล? l Money Secret EP.13

Summary

ไม่ว่ากี่ยุค “นวัตกรรม” คือ กลไกยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์ทั่วโลก อ่านบทเรียนจาก 3 นักเศรษฐศาสตร์ผู้คว้ารางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ 2025 ที่พูดถึงเทคโนโลยีและเศรษฐกิจ

Latest


“เทคโนโลยีและนวัตกรรม” คือ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว 

ปี 2025 รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ (The Sveriges Riksbank Prize in Economic Sciences in Memory of Alfred Nobel) มอบให้กับ 

  • โจเอล โมเคียร์ (Joel Mokyr) ศาสตราจารย์ชาวดัตช์ วัย 79 ปีจาก Northwestern University
  • ฟิลิปป์ อากิยง (Philippe Aghion) ศาสตราจารย์ชาวฝรั่งเศส วัย 69 ปีสังกัด Collège de France โรงเรียนธุรกิจ INSEAD และ London School of Economics
  • ปีเตอร์ โฮวิตต์ (Peter Howitt) ศาสตราจารย์ชาวแคนาดา วัย 79 ปี จากมหาวิทยาลัย Brown University

ทั้งสามได้รับการยกย่องจากผลงานที่อธิบายอย่างเป็นระบบว่า “นวัตกรรม” และ “เทคโนโลยีใหม่” คือ ปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและเป็นกลไกสำคัญที่ยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์ทั่วโลก

โดยผลงานของ Mokyr ในฐานะนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจใช้หลักฐานจากอดีตมาทำการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว ส่วน Aghion และ Howitt ได้ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์กลไกเชิงทฤษฎี แม้จะดูว่าผลงานคนละแบบ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับสอดคล้องกันอย่างน่าสนใจ จนทำให้ทั้งสามได้รับรางวัล

โดยผลลัพธ์ที่ทั้งสามค้นพบนั้น คือ “เทคโนโลยี” ไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต แม้ในกระบวนการนั้นจะทำให้ธุรกิจแบบเก่าต้องล้มหายตายจากไปก็ตาม


Joel Mokyr – นวัตกรรมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (Innovation-driven Economy)

ย้อนกลับไปในอดีต ก่อนศตวรรษที่ 18 มนุษย์อยู่ในโลกที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “ยุคเศรษฐกิจหยุดนิ่ง (Stagnant Economy)” การผลิตและรายได้ต่อหัวแทบไม่เติบโต ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นช้าและกระจัดกระจาย ส่งผลให้ชีวิตของคนในศตวรรษที่ 17 แทบไม่ต่างจากเมื่อพันปีก่อน

แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่ “ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)” โดยเฉพาะในยุโรปที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้ว Joel Mokyr ก็เกิดคำถามว่า “ทำไมเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้นที่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม และอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเติบโตทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นไม่หยุด?”

คำตอบที่ได้คือ เขาค้นพบว่า เทคโนโลยีเกิดขึ้นไม่หยุดไม่ใช่แค่เพราะว่ามีแรงงานหรือต้นทุนที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้น แต่เพราะ “วัฒนธรรมแห่งความรู้ (Culture of Knowledge)” ถึงทำให้เกิดขึ้นแบบไม่หยุด Joel Mokyr จึงเสนอแนวคิดที่ว่า “เทคโนโลยี คือ ความรู้ที่ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ” ยิ่งสังคมเปิดกว้างต่อการเรียนรู้และวิจัยมากเท่าไร ยิ่งเร่งให้เกิดนวัตกรรม

ทำให้ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา นวัตกรรมและเทคโนโลยีโตต่อเนื่อง เศรษฐกิจก็เติบโตไปด้วยเช่นกัน โดยเศรษฐกิจสมัยใหม่นี้จะแตกต่างจากยุคก่อนหน้า เพราะมีการพึ่งพาความรู้มากขึ้นไม่ใช่แค่พึ่งพาทรัพยากร อีกทั้งความรู้ใหม่ ๆ ก็เพิ่มเข้ามามากขึ้น จนเกิดเป็นกลไก


ความรู้ → สร้างนวัตกรรม → ทำให้เติบโต → จนเกิดความท้าทายใหม่ → ส่งผลให้ต้องหาความรู้ใหม่


และกลไกนี้ก็จะวนต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ซึ่งในปัจจุบันหรือศตวรรษที่ 21 นี้ กลับมีความท้าทายใหม่เข้ามา เมื่อยุค AI ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ไปเร็วจนสังคมปรับตัวไม่ทัน และหากสถาบันไม่ทันปรับตัว ความไม่เท่าเทียมและความขัดแย้งก็จะกลายเป็นอุปสรรคใหม่ของความเจริญทันที


Philippe Aghion และ Peter Howitt – การทำลายเชิงสร้างสรรค์ (Creative Destruction)

เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าเกินไป จะเป็นการทำลายมนุษยชาติไหม? 

ทั้ง Philippe Aghion และ Peter Howitt เป็นสองนักเศรษฐศาสตร์ที่ร่วมกันสร้าง “แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของการทำลายเชิงสร้างสรรค์ (Creative Destruction Model)” ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่นวัตกรรมใหม่เข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเก่า และผลที่ตามมา คือ ทำให้บางธุรกิจล่มสลาย แต่ระบบเศรษฐกิจโดยรวมกลับเติบโตและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

โดยมีคำถามที่ตามมาคือ “ถ้านวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างไร?” เป็นที่มาให้เกิดโมเดล Growth through Innovation อธิบายไว้ว่า

  • เมื่อบริษัทแต่ละแห่งลงทุนในงานวิจัยและพัฒนา (R&D) เพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่
  • นวัตกรรมใหม่นี้จะ “แทนที่” เทคโนโลยีเก่า (เช่น สมาร์ทโฟนที่มาแทนโทรศัพท์ปุ่มกด)
  • บริษัทที่สร้างนวัตกรรมสำเร็จจะได้รับผลตอบแทนชั่วคราว (Temporary Monopoly Profit)
  • จนกว่าจะมีเทคโนโลยีใหม่กว่าเข้ามาแทน ซึ่งนั่นเท่ากับว่า นวัตกรรมจะถูกคิดค้นต่อเนื่อง เกิดผลผลิตใหม่มากขึ้น และนำมาสู่รายได้เศรษฐกิจโดยรวมที่เพิ่มขึ้น

เช่นเดียวกันโมเดลนี้จะหมุนวนไปเรื่อย ๆ ซ้ำ ๆ จนเกิดเป็น “Endogenous Growth” หรือการเติบโตที่เกิดจากปัจจัยภายในระบบเศรษฐกิจเอง ที่ผู้เล่นใหม่สามารถเข้ามาแทนของเก่าได้เรื่อย ๆ

อย่างที่เราเห็นได้จากการเข้ามาแทนที่ของบริการอย่าง Netflix ที่ทำให้ร้านวิดีโอยักษ์ใหญ่ต้องล้ม หรือ Spotify ที่ทำให้การสตรีมเพลงง่ายขึ้นและถูกลงจนซีดีหรือแผ่นเสียงหายไป แต่ทั้งนี้ แม้บริการสมัยใหม่จำนวนมากจะราคาถูกหรือฟรีจนดูเหมือนไม่มีผลในข้อมูลเศรษฐกิจ แต่กลับเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของคนไปในระยะยาว


สองผลงานนี้สะท้อนสังคมอย่างไร?

ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่า “มนุษย์ปรับตัวช้ากว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีเสมอ” นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปที่เครื่องจักรเริ่มเข้ามาแทนที่แรงงาน สิ่งที่ตามมาคือ การต่อต้านของผู้ที่สูญเสียประโยชน์

ซึ่งบทเรียนจากเรื่องนั้นคือ “นวัตกรรมสร้างทั้งผู้ชนะและผู้แพ้” และกลุ่มที่แพ้มักจะลุกขึ้นต่อต้าน

สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 3 ย้ำเตือนในช่วงที่รับรางวัล โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าจะมีปัจจัยใดบ้างที่จะเข้ามาขัดขวางการเติบโตของเทคโนโลยี และนั่นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ

  • นวัตกรรมเกิดได้เมื่อผู้เล่นรายใหม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้ แต่มาตรการภาษีและการกีดกันทางการค้าทำให้การหมุนเวียนของนวัตกรรมช้าลง

    ตัวอย่างเช่น ในช่วงทศวรรษ 1980 บริษัทญี่ปุ่นอย่าง Toyota และ Honda เคยปฏิวัติตลาดรถยนต์สหรัฐฯ ด้วยเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพกว่า แต่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการภาษีและโควตาป้องกันบริษัทในประเทศ ทำให้การแข่งขันหยุดชะงักและนวัตกรรมลดลง


  • การเติบโตที่ยั่งยืนจะต้อง “สอดคล้องกับขีดจำกัดของโลก” ทั้งปัญหาโลกร้อน การขาดแคลนทรัพยากร และมลภาวะจะทำให้ความเจริญหยุดชะงัก หากเศรษฐกิจยังพึ่งพาพลังงานฟอสซิล

    โดย Aghion เสนอให้หันเข็มทิศนวัตกรรมไปสู่เทคโนโลยีสีเขียว เช่น พลังงานสะอาด การผลิตปลอดมลพิษ และโครงสร้างพื้นฐานที่ยั่งยืนมากขึ้น พร้อมกับเตือนว่า “AI เองก็มีผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างมาก” เพราะการเทรนโมเดลขนาดใหญ่ต้องใช้ไฟฟ้าและน้ำปริมาณมหาศาล หากไม่บริหารให้ดี อาจกลายเป็นภาระใหม่ของโลก


  • อำนาจผูกขาดของบริษัทยักษ์ใหญ่ หากทรัพยากรสำคัญอย่าง ข้อมูล - พลังคำนวณ - บุคลากร ถูกควบคุมโดยบริษัทไม่กี่แห่ง นวัตกรรมจะชะลอตัว

    ระบบเศรษฐกิจจะเปลี่ยนจาก “วงจรสร้างและแทนที่” เป็น “วงจรผูกขาด” ที่ขัดขวางผู้เล่นหน้าใหม่ โดย Aghion เตือนว่า “หากปล่อยให้ AI กระจุกตัวในมือคนไม่กี่กลุ่ม เราอาจกำลังทำลายกลไกของ Creative Destruction ด้วยตัวเอง”


ทั้งนี้ บทเรียนจากโนเบลเศรษฐศาสตร์ปีนี้ชี้ว่า “นวัตกรรมไม่ได้เติบโตเอง แต่ต้องอาศัย สถาบันที่แข็งแรง นโยบายที่เหมาะสม และวัฒนธรรมที่เปิดรับความคิดใหม่” และเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค AI เราต้องเดินหน้า ดังนี้

  • ปรับปรุงกฎหมายและกรอบกำกับดูแลให้ทันเทคโนโลยี
  • พัฒนาระบบการศึกษา เพื่อเตรียมแรงงานให้พร้อมกับทักษะใหม่
  • เสริมนโยบายแข่งขันทางธุรกิจ เพื่อป้องกันการผูกขาด
  • สนับสนุนการลงทุนวิจัย เพราะนวัตกรรมส่วนใหญ่เริ่มจากทุนวิจัย

สำหรับรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ในปีนี้ มีมูลค่ารวมเกือบ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยครึ่งหนึ่งมอบให้กับ Joel Mokyr ส่วนอีกครึ่งแบ่งกันระหว่าง Philippe Aghion และ Peter Howitt อีกทั้งผู้ชนะจะได้รับเหรียญทองคำ 18 กะรัต และใบประกาศเกียรติคุณ

จนถึงวันนี้ รางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ถูกมอบไปแล้ว 57 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 99 คน โดยมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง โดยรางวัลโนเบลนี้ จะมีการจัดมอบพร้อมกับอีก 5 สาขาในทุกวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันครบรอบการเสียชีวิตของ Alfred Nobel เมื่อปี 1896



ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney



Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ