
“เทคโนโลยีและนวัตกรรม” คือ แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะยาว
ปี 2025 รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ (The Sveriges Riksbank Prize in Economic Sciences in Memory of Alfred Nobel) มอบให้กับ
ทั้งสามได้รับการยกย่องจากผลงานที่อธิบายอย่างเป็นระบบว่า “นวัตกรรม” และ “เทคโนโลยีใหม่” คือ ปัจจัยหลักของการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาวและเป็นกลไกสำคัญที่ยกระดับคุณภาพชีวิตมนุษย์ทั่วโลก
โดยผลงานของ Mokyr ในฐานะนักประวัติศาสตร์เศรษฐกิจใช้หลักฐานจากอดีตมาทำการวิเคราะห์แนวโน้มระยะยาว ส่วน Aghion และ Howitt ได้ใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อพิสูจน์กลไกเชิงทฤษฎี แม้จะดูว่าผลงานคนละแบบ แต่ผลลัพธ์ที่ออกมากลับสอดคล้องกันอย่างน่าสนใจ จนทำให้ทั้งสามได้รับรางวัล
โดยผลลัพธ์ที่ทั้งสามค้นพบนั้น คือ “เทคโนโลยี” ไม่เพียงแต่สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นแรงผลักสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต แม้ในกระบวนการนั้นจะทำให้ธุรกิจแบบเก่าต้องล้มหายตายจากไปก็ตาม
ย้อนกลับไปในอดีต ก่อนศตวรรษที่ 18 มนุษย์อยู่ในโลกที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “ยุคเศรษฐกิจหยุดนิ่ง (Stagnant Economy)” การผลิตและรายได้ต่อหัวแทบไม่เติบโต ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นช้าและกระจัดกระจาย ส่งผลให้ชีวิตของคนในศตวรรษที่ 17 แทบไม่ต่างจากเมื่อพันปีก่อน
แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อเข้าสู่ “ยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรม (Industrial Revolution)” โดยเฉพาะในยุโรปที่ส่งผลให้เศรษฐกิจเริ่มทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่แล้ว Joel Mokyr ก็เกิดคำถามว่า “ทำไมเฉพาะบางพื้นที่เท่านั้นที่เกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม และอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเติบโตทางเทคโนโลยีเกิดขึ้นไม่หยุด?”
คำตอบที่ได้คือ เขาค้นพบว่า เทคโนโลยีเกิดขึ้นไม่หยุดไม่ใช่แค่เพราะว่ามีแรงงานหรือต้นทุนที่ทำให้นวัตกรรมเกิดขึ้น แต่เพราะ “วัฒนธรรมแห่งความรู้ (Culture of Knowledge)” ถึงทำให้เกิดขึ้นแบบไม่หยุด Joel Mokyr จึงเสนอแนวคิดที่ว่า “เทคโนโลยี คือ ความรู้ที่ถูกนำมาใช้ในทางปฏิบัติ” ยิ่งสังคมเปิดกว้างต่อการเรียนรู้และวิจัยมากเท่าไร ยิ่งเร่งให้เกิดนวัตกรรม
ทำให้ในช่วง 200 ปีที่ผ่านมา นวัตกรรมและเทคโนโลยีโตต่อเนื่อง เศรษฐกิจก็เติบโตไปด้วยเช่นกัน โดยเศรษฐกิจสมัยใหม่นี้จะแตกต่างจากยุคก่อนหน้า เพราะมีการพึ่งพาความรู้มากขึ้นไม่ใช่แค่พึ่งพาทรัพยากร อีกทั้งความรู้ใหม่ ๆ ก็เพิ่มเข้ามามากขึ้น จนเกิดเป็นกลไก
ความรู้ → สร้างนวัตกรรม → ทำให้เติบโต → จนเกิดความท้าทายใหม่ → ส่งผลให้ต้องหาความรู้ใหม่
และกลไกนี้ก็จะวนต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ ซึ่งในปัจจุบันหรือศตวรรษที่ 21 นี้ กลับมีความท้าทายใหม่เข้ามา เมื่อยุค AI ทำให้เทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง ๆ ไปเร็วจนสังคมปรับตัวไม่ทัน และหากสถาบันไม่ทันปรับตัว ความไม่เท่าเทียมและความขัดแย้งก็จะกลายเป็นอุปสรรคใหม่ของความเจริญทันที
เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าเกินไป จะเป็นการทำลายมนุษยชาติไหม?
ทั้ง Philippe Aghion และ Peter Howitt เป็นสองนักเศรษฐศาสตร์ที่ร่วมกันสร้าง “แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ของการทำลายเชิงสร้างสรรค์ (Creative Destruction Model)” ซึ่งหมายถึงกระบวนการที่นวัตกรรมใหม่เข้ามาแทนที่เทคโนโลยีเก่า และผลที่ตามมา คือ ทำให้บางธุรกิจล่มสลาย แต่ระบบเศรษฐกิจโดยรวมกลับเติบโตและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น
โดยมีคำถามที่ตามมาคือ “ถ้านวัตกรรมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เศรษฐกิจจะเติบโตอย่างไร?” เป็นที่มาให้เกิดโมเดล Growth through Innovation อธิบายไว้ว่า
เช่นเดียวกันโมเดลนี้จะหมุนวนไปเรื่อย ๆ ซ้ำ ๆ จนเกิดเป็น “Endogenous Growth” หรือการเติบโตที่เกิดจากปัจจัยภายในระบบเศรษฐกิจเอง ที่ผู้เล่นใหม่สามารถเข้ามาแทนของเก่าได้เรื่อย ๆ
อย่างที่เราเห็นได้จากการเข้ามาแทนที่ของบริการอย่าง Netflix ที่ทำให้ร้านวิดีโอยักษ์ใหญ่ต้องล้ม หรือ Spotify ที่ทำให้การสตรีมเพลงง่ายขึ้นและถูกลงจนซีดีหรือแผ่นเสียงหายไป แต่ทั้งนี้ แม้บริการสมัยใหม่จำนวนมากจะราคาถูกหรือฟรีจนดูเหมือนไม่มีผลในข้อมูลเศรษฐกิจ แต่กลับเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของคนไปในระยะยาว
ที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พบว่า “มนุษย์ปรับตัวช้ากว่าการพัฒนาของเทคโนโลยีเสมอ” นับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรปที่เครื่องจักรเริ่มเข้ามาแทนที่แรงงาน สิ่งที่ตามมาคือ การต่อต้านของผู้ที่สูญเสียประโยชน์
ซึ่งบทเรียนจากเรื่องนั้นคือ “นวัตกรรมสร้างทั้งผู้ชนะและผู้แพ้” และกลุ่มที่แพ้มักจะลุกขึ้นต่อต้าน
สิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ทั้ง 3 ย้ำเตือนในช่วงที่รับรางวัล โดยอธิบายเพิ่มเติมว่าจะมีปัจจัยใดบ้างที่จะเข้ามาขัดขวางการเติบโตของเทคโนโลยี และนั่นจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยมีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
ทั้งนี้ บทเรียนจากโนเบลเศรษฐศาสตร์ปีนี้ชี้ว่า “นวัตกรรมไม่ได้เติบโตเอง แต่ต้องอาศัย สถาบันที่แข็งแรง นโยบายที่เหมาะสม และวัฒนธรรมที่เปิดรับความคิดใหม่” และเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุค AI เราต้องเดินหน้า ดังนี้
สำหรับรางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ในปีนี้ มีมูลค่ารวมเกือบ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยครึ่งหนึ่งมอบให้กับ Joel Mokyr ส่วนอีกครึ่งแบ่งกันระหว่าง Philippe Aghion และ Peter Howitt อีกทั้งผู้ชนะจะได้รับเหรียญทองคำ 18 กะรัต และใบประกาศเกียรติคุณ
จนถึงวันนี้ รางวัลโนเบลเศรษฐศาสตร์ถูกมอบไปแล้ว 57 ครั้ง รวมทั้งสิ้น 99 คน โดยมีเพียง 3 คนเท่านั้นที่เป็นผู้หญิง โดยรางวัลโนเบลนี้ จะมีการจัดมอบพร้อมกับอีก 5 สาขาในทุกวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งตรงกับวันครบรอบการเสียชีวิตของ Alfred Nobel เมื่อปี 1896
ที่มา: The Nobel Prize, The Guardian, Forbes, Finance & Commerce
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney