
Apple ประกาศเปิดให้ใช้งานฟีเจอร์ด้านสุขภาพเพิ่มเติม โดยเน้นสองกลุ่มหลัก ได้แก่ “ฟีเจอร์ตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ” (Sleep Apnea Detection) บน Apple Watch รวมถึง “ฟีเจอร์ด้านการได้ยิน” บน AirPods Pro 2 ไปยังหลายประเทศเพิ่มเติมในยุโรป เอเชีย อเมริกาใต้ และภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
ฟีเจอร์ตรวจจับภาวะหยุดหายใจขณะหลับนี้รองรับการใช้งานบน Apple Watch Series 9, Apple Watch Series 10 และ Apple Watch Ultra รุ่นที่ 2 โดยสามารถใช้งานได้ในมากกว่า 150 ประเทศทั่วโลก โดยผู้ใช้งานจำเป็นต้องใส่นาฬิการะหว่างนอนหลับต่อเนื่องกันหลายคืนเพื่อให้ได้การวิเคราะห์เบื้องต้น ขณะที่ข้อมูลเกี่ยวกับการหายใจผิดปกติในแต่ละคืนจะแสดงในแอป Health บน iPhone
โดย Apple Watch รุ่นที่รองรับจะใช้เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหวเล็กๆ ที่ข้อมือระหว่างนอนหลับเพื่อระบุความผิดปกติของรูปแบบการหายใจในช่วงกลางคืน และวิเคราะห์ความผิดปกติของรูปแบบการหายใจในรอบ 30 วัน หากพบสัญญาณของภาวะหยุดหายใจในระดับปานกลางถึงรุนแรง ระบบจะแจ้งเตือนผู้ใช้งานทันที พร้อมแนะนำให้ปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ฟีเจอร์นี้สามารถบันทึกข้อมูลโดยสรุปเป็นไฟล์ PDF ที่แสดงช่วงเวลาที่อาจเกิดภาวะหยุดหายใจย้อนหลังได้ถึง 3 เดือน ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและวางแผนการรักษาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากฟีเจอร์ด้านการนอนหลับแล้ว Apple ยังได้ขยายการให้บริการฟีเจอร์ด้านสุขภาพหัวใจเพิ่มเติมไปยังบางประเทศ เช่น ฟีเจอร์ ECG และการแจ้งเตือนจังหวะหัวใจผิดปกติ (Irregular Rhythm Notifications) เปิดให้ใช้งานแล้วในอาร์เจนตินา คอสตาริกา และเซอร์เบีย และฟีเจอร์ประวัติภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AFib History) ในอาร์เจนตินา และเซอร์เบีย
ฟีเจอร์ AFib History ออกแบบมาสำหรับผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพริ้วจากแพทย์ ส่วนการแจ้งเตือนจังหวะหัวใจผิดปกตินั้นจะช่วยตรวจจับอัตราการเต้นของหัวใจที่สูงเกินไป ต่ำเกินไปหรือมีจังหวะผิดปกติ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรง โดยปัจจุบันฟีเจอร์ ECG, Irregular Heart Rhythm Notifications และ AFib History พร้อมให้ใช้งานในกว่า 150 ประเทศทั่วโลก
ด้านสุขภาพการได้ยิน Apple ขยายฟีเจอร์ “ทดสอบการได้ยิน” (Hearing Test) และ “อุปกรณ์ช่วยฟัง” (Hearing Aid) บน AirPods Pro 2 ไปยังหลายประเทศในยุโรป เอเชีย และอเมริกาใต้ โดยผู้ใช้งานในประเทศไทยก็อยู่ในกลุ่มประเทศที่เริ่มใช้งานฟีเจอร์เหล่านี้ได้แล้วเช่นกัน
สำหรับการทดสอบการได้ยินสามารถใช้งานได้เมื่อเชื่อมต่อ AirPods Pro 2 เข้ากับ iPhone ที่ใช้ iOS 18.1 ขึ้นไป หรือ iPad ที่ใช้ iPadOS 18.1 ขึ้นไป โดยแบบทดสอบนี้จำลองการตรวจการได้ยินที่พบในคลินิกผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งจะเล่นเสียงความถี่และระดับต่างๆ ผ่านหูฟัง แล้วให้ผู้ใช้งานแตะหน้าจอ iPhone เมื่อได้ยินเสียง โดย Apple ทดสอบใน 4 ความถี่หลัก ได้แก่ 500Hz, 1kHz, 2kHz และ 4kHz โดยมีเกณฑ์การประเมินผลดังนี้:
ส่วนฟีเจอร์อุปกรณ์ช่วยฟัง AirPods Pro 2 สามารถทำหน้าที่เป็นอุปกรณ์ช่วยฟังระดับคลินิก โดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาหรือไปพบแพทย์ ฟีเจอร์นี้ตอบโจทย์จากข้อมูลวิจัยที่พบว่า 75% ของผู้มีปัญหาการได้ยิน มักไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม เมื่อผู้ใช้เปิดใช้งานฟีเจอร์อุปกรณ์ช่วยฟัง AirPods Pro 2 จะประมวลผลข้อมูลจากผลการทดสอบการได้ยินเพื่อขยายความถี่เสียงที่ผู้ใช้ได้ยินไม่ชัดเจน ช่วยให้สามารถได้ยินเสียงสนทนาและเสียงรอบข้างได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมตัวเลือก “Media Assist” ที่ปรับเสียงเพลง วิดีโอ และการโทรให้เหมาะกับระดับการได้ยินของผู้ใช้งาน
การขยายฟีเจอร์สุขภาพในอุปกรณ์ของ Apple ไม่ได้เป็นเพียงแค่การยกระดับประสบการณ์ผู้ใช้งาน แต่ยังสะท้อนถึงเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในการสร้าง “Ecosystem” ด้านสุขภาพที่เชื่อมโยงข้อมูลจากอุปกรณ์ต่างๆ เข้ากับบริการสุขภาพแบบองค์รวมในอนาคต
อ่านเพิ่มเติม Apple ทุ่มหลายพันล้าน วิจัยสุขภาพระดับโลกใช้ iPhone Apple Watch AirPods ศึกษาร่างกายจิตใจ 24 ชม.
Apple มองว่าข้อมูลสุขภาพที่แม่นยำและเชื่อถือได้ คือ “สินทรัพย์ใหม่” ที่มีมูลค่าสูง และสามารถต่อยอดไปสู่บริการระดับพรีเมียม การดูแลเฉพาะบุคคล (Personalized Care) และความร่วมมือกับภาคการแพทย์ที่ได้ลงทุนมหาศาลก่อนหน้านี้ ซึ่งจะกลายเป็นหนึ่งในเสาหลักทางธุรกิจของ Apple ในโลกยุคหลัง iPhone อย่างแท้จริง
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -