
เมื่อพูดถึง “บริการจัดส่ง” หรือเดลิเวอรี่ หลายคนอาจนึกถึงแค่การสั่งอาหารหรือพัสดุจากร้านค้าออนไลน์ แต่ในจีน กำลังก้าวไปไกลกว่านั้น เพราะล่าสุดเหล่ายักษ์ใหญ่ของวงการกำลังผลักดันวงการเดลิเวอรี่สู่ยุคใหม่ที่เรียกว่า “Instant Commerce” หรือ การสั่งซื้อของออนไลน์ที่ได้ของไวในระดับนาทีหรือมากสุดในหนึ่งชั่วโมง เรียกได้ว่าแทบจะ “ทันที” ของการจัดส่ง
หัวหอกอย่าง Alibaba, JD.com และ Meituan ต่างเร่งพัฒนาบริการใหม่เพื่อแย่งชิงเงินในกระเป๋าของผู้บริโภค โดยเฉพาะในเมืองใหญ่อย่างปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ ผู้บริโภคสามารถสั่งชาเย็นผ่านแอปฯ แล้วรอรับที่หน้าประตูบ้านได้ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง นี่ไม่ใช่แค่การยกระดับจากบริการส่งอาหารธรรมดาแต่เป็นระบบที่ครอบคลุมทุกอย่างตั้งแต่เสื้อผ้าแฟชั่นไปจนถึงของใช้ประจำวัน โมเดลใหม่นี้กำลังสร้างแรงกระเพื่อมที่ธุรกิจทุกรูปแบบต้องจับตา ซึ่งจีนอาจกลายเป็นประเทศแรกของโลกที่ทำให้ “Instant Commerce” กลายเป็นจริงในหลายเมืองใหญ่ได้สำเร็จ
Instant Commerce คือ การซื้อขายออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เกิดจากการผสานการสั่งซื้อผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัล (แอปพลิเคชัน) กับการจัดส่งสินค้าภายในเวลาสั้นมาก โดยทั่วไปคือภายใน 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมง ซึ่งไม่จำกัดแค่การจัดส่งอาหาร แต่ครอบคลุมสินค้าหลากหลาย เช่น ของใช้ประจำวัน เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องสำอาง
ปัจจัยที่ทำให้ “จีน” กลายเป็นประเทศแรกที่สามารถทำโมเดลนี้ให้ใช้ได้จริงในหลายเมืองใหญ่ และกำลังดึงดูดความสนใจจากประเทศอื่นๆ ที่มองเห็นศักยภาพของบริการลักษณะนี้ ได้แก่
หลายปีที่ผ่านมาอีคอมเมิร์ซจีนแข่งขันกันอย่างดุเดือดในเรื่อง “ความเร็วในการส่งของ” เริ่มจาก JD.com ที่ได้สร้างมาตรฐานใหม่ด้วยบริการจัดส่งภายในวันเดียวหรือวันถัดไป ต่อเนื่องด้วยการขยับเข้าสู่ตลาดส่งอาหารพร้อมทาน (Takeout) ที่เคยถูกครองโดย Meituan และ Ele.me ของ Alibaba ทำให้หลังจากนั้นในเดือนเมษายน Meituan เปิดเกมบุกคืนด้วยบริการ "Flash Shopping" ช้อปปิ้งด่วน 24/7 ที่รวมทั้งของสด เครื่องดื่ม อิเล็กทรอนิกส์ และสัญญากับลูกค้าว่าจะส่งถึงภายใน 30 นาที กระทั่งเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เมื่อยักษ์ใหญ่ Alibaba ลงสนามด้วยการเปิดตัวบริการจัดส่งด่วนภายใต้ชื่อว่า "Instant Commerce" ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการรุกสู่ตลาดค้าปลีกแบบเร่งด่วน “Instant Retail”
การแข่งขันร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นที่แต่ละบริษัทเริ่มกล่าวหากันถึงความไม่เป็นธรรมของวิธีที่ใช้ในการแข่งขัน โดยเฉพาะการขัดขวางไรเดอร์ไม่ให้รับออเดอร์จากแพลตฟอร์มคู่แข่ง จนกระทั่งสำนักงานกำกับดูแลตลาดของจีนเรียก JD.com, Meituan และ Ele.me เข้าไปหารือและขอให้ดำเนินการแข่งขันอย่างเป็นธรรม หลังจากมีเสียงกังวลจากกลุ่มค้าปลีกเกี่ยวกับผลกระทบของราคาที่ถูกกดให้ต่ำจนผิดปกติ อย่างไรก็ตามกระแสการแข่งขันยังคงดำเนินต่อไป
โดยล่าสุด JD.com เริ่มอัดฉีดเงินอุดหนุนกว่า 1 หมื่นล้านหยวน ภายใต้แผน “Double Hundred Plan” เพื่อช่วยเหลือร้านค้าบนแพลตฟอร์ม จากที่ก่อนหน้านี้เคยอัดฉีดเงินแล้วเพื่อส่วนลดในบริการส่งอาหาร ขณะเดียวกัน Alibaba ก็ประกาศโครงการเงินอุดหนุนมูลค่ามหาศาล 5 หมื่นล้านหยวน (ราว 7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งตั้งเป้าแจกจ่ายภายในหนึ่งปีอีกด้วย
แม้ทุกบริษัทจะรายงานถึงยอดผู้ใช้ Instant commerce ที่เพิ่มขึ้น แต่ในด้านผลกระทบต่อกำไรยังไม่แน่ชัด Meituan รายงานกำไรสุทธิไตรมาสแรกปี 2025 ที่ 1.02 หมื่นล้านหยวน เพิ่มขึ้นถึง 63% จากปีก่อน ขณะที่ JD.com ก็มีกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 31.4% ในไตรมาสแรก เป็น 1.17 หมื่นล้านหยวน อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์เตือนว่าการแข่งขันที่รุนแรงจะส่งผลกระทบต่อไตรมาสถัดไป พร้อมคาดการณ์ถึงตัวเลขที่จะลดลงเมื่อเทียบรายไตรมาสและรายปี โดยเฉพาะธุรกิจส่งอาหารของ JD ที่เพิ่งเริ่มอาจขาดทุนมากกว่า 1 หมื่นล้านหยวนในไตรมาสที่สอง
จากการประเมินของโนมูระ ซึ่งชี้ว่า JD มีคำสั่งซื้อในตลาด instant delivery ประมาณ 20 ล้านออเดอร์/วัน หรือราว 10% ของตลาด พร้อมกับออกโรงเตือนว่า “JD อาจต้องกลับมาทบทวนเป้าหมายใหม่” เพราะถ้า Alibaba ยังเดินหน้าทุ่มเงินต่อ JD ก็อาจต้องใช้กำไรจากธุรกิจค้าปลีกหลักทั้งหมดเพื่อสู้ศึกนี้ในอีกหลายไตรมาสข้างหน้า โดยตั้งแต่ JD.com เปิดศึกส่งอาหารชน Meituan อย่างจริงจัง ราคาหุ้นของทั้งสองบริษัทก็ร่วงอย่างต่อเนื่อง
แม้ผู้บริโภคจะหลงรักความสะดวกในการสั่งสินค้าทุกอย่างได้แบบทันใจ แต่ไม่ว่าบริการจะรวดเร็วแค่ไหน ก็ไม่อาจแก้ปัญหาใหญ่สุดของจีนได้ นั่นคือ “อุปสงค์ที่หดตัว” นักลงทุนกลับมองเห็นความเสี่ยงมากกว่าโอกาส เพราะมองว่าการแข่งขันในตลาดนี้ไม่มีช่องว่างให้เติบโตเพิ่มอีกแล้วแต่แพลตฟอร์มยังคงแย่งลูกค้าเดิมกันเอง ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อกำไรและการแข่งขันแบบ Zero-Sum กลายเป็นเกมที่ใครกำไรน้อยกว่าก็อาจต้องถอย การใช้ส่วนลดและเงินอุดหนุนเพื่อแย่งลูกค้ากลับส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามถึงความยั่งยืนของโมเดลนี้
มากไปกว่านั้นภาคค้าปลีกดั้งเดิมถูกบีบให้ปรับตัว ทั้งร้านค้าออฟไลน์ ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านสะดวกซื้อต่างต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ เมื่อผู้บริโภคเลือกที่จะรอสินค้าที่ส่งถึงหน้าบ้านมากกว่าการออกไปซื้อเอง บางรายอาจต้องหันมาร่วมมือกับแพลตฟอร์ม Instant Commerce หรือพัฒนาบริการจัดส่งของตัวเองเพื่อไม่ให้เสียส่วนแบ่งตลาด
Instant Commerce อาจเป็นวิวัฒนาการขั้นถัดไปของอีคอมเมิร์ซ แต่ก็เปิดประตูสู่การแข่งขันที่รุนแรงและต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทใดที่ไม่มีทุนหรือเทคโนโลยีเพียงพออาจถูกบีบให้หลุดออกจากตลาด ในขณะที่ผู้บริโภคได้ประโยชน์สูงสุดจากบริการที่รวดเร็วและราคาถูก
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -