หุ้น Nvidia ราคาพุ่งทำ All-Time High ดันมูลค่าบริษัททะลุ 3.77 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้า Microsoft ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก จากดีมานด์ชิป AI ที่กำลังเพิ่มมากขึ้น จากกระแสการสร้าง Data Center ตลอดจนการพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ ส่งผลให้ผลประกอบการในไตรมาสที่ผ่านมาของ Nvidia ดีเกินคาด ด้านนักลงทุนวอลล์สตรีทยังมองว่าเทรนด์ AI ยังไปต่อ แม้กำไรจะสูงแต่ราคายังไม่แพง และยังต้องจับตาหุ้น Nvidia ต่อไป
ราคาหุ้นของ Nvidia พุ่งทะยานขึ้นอีกครั้งในวันพุธที่ 25 มิถุนายนที่ผ่านมา ทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ 154.31 ดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 4.3% จากวันก่อนหน้า ถือเป็นการทำลายสถิติเดิมที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
นับว่าเป็นอีกหนึ่งปีทองของ Nvidia ที่เติบโตขึ้นถึง 63% จากจุดต่ำสุดเมื่อเดือนเมษายน และการฟื้นตัวอย่างร้อนแรงนี้ช่วยดันมูลค่าบริษัทเพิ่มขึ้นเกือบ 1.5 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในเวลาเพียงไม่กี่เดือน ทำให้ตอนนี้ Nvidia ขึ้นแท่นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงที่สุดในโลกที่ 3.77 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ แซงหน้า Microsoft ที่มีมูลค่า 3.66 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐไปเรียบร้อยแล้ว
เบื้องหลังความเชื่อมั่นของตลาดที่เพิ่มขึ้นในครั้งนี้ มีผลมาจากการประกาศผลประกอบการล่าสุดของ Nvidia ที่เติบโตแข็งแกร่งกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ แม้จะเจอแรงกดดันจากมาตรการควบคุมการส่งออกชิปขั้นสูงไปยังจีน แต่ธุรกิจยังขยายตัวได้อย่างมั่นคง
ขณะที่บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ระดับโลกที่เป็นลูกค้าหลักของ Nvidia ไม่ว่าจะเป็น Microsoft, Meta, Google และ Amazon (คิดเป็นสัดส่วนรายได้มากกว่า 40% ของรายได้ของ Nvidia) ต่างยังคงทุ่มงบไล่สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI กันอย่างต่อเนื่อง
จากการประชุมผู้ถือหุ้นของ Nvidia ประจำปี ซีอีโอ Jensen Huang ได้ขึ้นกล่าวยืนยันกับนักลงทุนอย่างมั่นใจว่า “ดีมานด์ยังคงแข็งแกร่ง และตอนนี้วงการคอมพิวเตอร์เพิ่งอยู่แค่จุดเริ่มต้นของการอัปเกรดระบบทั้งหมดด้วย AI”
พร้อมย้ำอีกครั้งว่า การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมนี้จะขยายใหญ่ขึ้น และ Nvidia จะอยู่ในใจกลางของคลื่นลูกนี้ ซึ่งทำให้บริษัทกลายเป็น “ไอคอนของวอลสตรีท” ภายในเวลาไม่กี่ปี จากบริษัทที่แทบไม่มีใครรู้จักเลยด้วยซ้ำ
ด้าน Michael Smith ผู้จัดการพอร์ตของ Allspring Global Investments ให้ความเห็นว่า “ตอนนี้เชื่อมั่นในแนวโน้มการเติบโตของ Nvidia มากกว่าที่เคย และดูเหมือนว่าสงครามอาวุธ AI นี้จะยังยืดเยื้อจากปี 2025 และอาจจะยาวไปถึง 2026 ด้วยซ้ำ”
พร้อมกับเสริมว่า โมเมนตัมของ Nvidia กลับมาอย่างชัดเจน และข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจของ Nvidia จะขยายตัวขึ้นเรื่อย ๆ นั่นหมายความว่า “ตำแหน่งผู้นำของ Nvidia จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
แม้ราคาหุ้นจะพุ่งขึ้นถึง 170% ในปี 2024 และเพิ่มขึ้นอีก 15% ในปี 2025 แต่หากดูจากตัวเลขทางการเงินแล้ว ราคาหุ้นของ Nvidia ก็ยังถือว่า “ไม่แพงเกินไป” โดยราคาหุ้นเทรดอยู่ที่ 31.5 เท่าของกำไรที่คาดไว้ใน 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีของตัวเอง และใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของดัชนี Nasdaq 100 ที่ประมาณ 27 เท่า และที่สำคัญกว่านั้น PEG Ratio (อัตราส่วนราคาต่อกำไรเติบโต) ของ Nvidia อยู่ที่ 0.9 ซึ่งต่ำที่สุดในกลุ่ม “Magnificent Seven” หรือกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีชั้นนำ
ข้อมูลจาก Bloomberg ระบุว่า เกือบ 90% ของนักวิเคราะห์ ยังแนะนำให้ซื้อหุ้น Nvidia ขณะที่ราคาหุ้นยังต่ำกว่าราคาเป้าหมายเฉลี่ยจากนักวิเคราะห์ถึง 12% ซึ่งสามารถบ่งชี้ได้ว่านักลงทุนยังมองว่าหุ้นยังไปต่อได้อีก
อย่างไรก็ตาม หุ้นของ Nvidia ยังไม่ได้ถือครองโดยนักลงทุนสถาบันมากเท่ากับบริษัทเทคโนโลยีเจ้าใหญ่อื่น ๆ โดยข้อมูลจาก Bank of America ชี้ว่า มีเพียง 74% ของกองทุนแบบ Long-Only หรือกองทุนรวมที่จะลงทุนโดยการซื้อหุ้นที่คาดว่าจะปรับตัวขึ้นในอนาคตเท่านั้นที่ถือหุ้น Nvidia อยู่ ขณะที่ Amazon, Apple และ Microsoft ต่างมีระดับการถือครองที่สูงกว่า โดย Microsoft ถูกถือถึง 91% โดยกองทุนเหล่านี้
Michael Smith ปิดท้ายด้วยความเห็นที่สะท้อนมุมมองนักลงทุนที่เริ่มระวัง ว่า “ผมยังมองบวกในปีนี้และปีหน้า แต่หลังจากนั้นไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ราคาหุ้น Nvidia ตอนนี้ไม่ได้ดูแพงเลย แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันก็อาจมีเพดานอยู่บ้าง เพราะนี่คือหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดของโลก”
เขาชี้ว่าความยั่งยืนของการเติบโตของ Nvidia จะขึ้นอยู่กับ “ความต้องการด้าน AI ของลูกค้า” หากลูกค้าเริ่มชะลอการลงทุน แรงเหวี่ยงของหุ้นอาจสะดุดได้ทันที
ที่มา: Bloomberg
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney