
SAP เป็นบริษัทซอฟต์แวร์องค์กรจากเยอรมนี ก่อตั้งปี 1972 โดย 5 วิศวกร IBM
ในวันที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ทั้งเรื่องสงครามการค้าที่ปั่นป่วน กฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และยังมีเรื่องผลกระทบจาก AI ที่กำลังพลิกโฉมธุรกิจและแรงงานไปอย่างสิ้นเชิง Christian Klien ซีอีโอของ SAP ก้าวขึ้นบนเวทีในงาน SAP Sapphire 2025 งานประจำปีของ SAP ที่ Thairath Money มีโอกาสได้ไปเข้าร่วม โดย Christian Klien ได้กล่าวว่า “เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่ซอฟต์แวร์จะทำงานแทนมนุษย์อย่างแท้จริง และในวันที่โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน SAP ไม่ใช่แค่ผู้ให้บริการเทคโนโลยี แต่คือพาร์ตเนอร์การเปลี่ยนผ่านที่จะอยู่เคียงข้างธุรกิจทุกก้าว”
นี่คือแนวคิดของผู้นำในองค์กรที่ปัจจุบันได้ขึ้นแท่นเป็น “บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป” ด้วยมูลค่าตามตลาดสูงถึง 355,150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 11 ล้านล้านบาท พร้อมกับติดอันดับที่ 25 ของโลก ซึ่งความน่าสนใจของบริษัทอย่าง SAP คือ การก้าวแซงหน้าบริษัทเภสัชกรรม Novo Nordisk จากเดนมาร์กที่ครองแชมป์มาตั้งแต่ปี 2023 (ซึ่งก่อนหน้านั้น Novo Nordisk ก็ได้แซงหน้า LVMH ที่ครองแชมป์มาตั้งแต่ปี 2021 แต่เพราะดีมานด์ในตลาดลักซ์ชูรีลดลงต่อเนื่องทำให้เสียอันดับไป)
ในบทความนี้ Thairath Money คอลัมน์ How to Make Money จะพาไปทำความรู้จัก SAP บริษัทเทคโนโลยีจากเยอรมนี ที่เพิ่งล้มยักษ์ผู้ผลิตยาและแซงหน้าบิ๊กด้านแฟชั่นไปหมาดเมื่อต้นปี 2025 ว่าบริษัทอย่าง SAP คือใคร ทำอะไร ทำไมถึงกลายเป็นบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป?
ก่อนจะไปเล่าถึงต้นกำเนิดของ SAP ขอพาไปทำความรู้จักก่อนว่า SAP หรือชื่อเต็มภาษาอังกฤษในปัจจุบันคือ Systems, Applications & Products in Data Processing เป็นหนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่อันดับต้น ๆ ของโลก และยังเป็นบริษัทซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร
SAP มีชื่อเสียงมาจากระบบ ERP หรือ Enterprise Resource Planning ซอฟต์แวร์ระบบสำหรับองค์กรที่รวมทุกอย่างไว้ในแพลตฟอร์มเดียวเพื่อให้ธุรกิจรันงานด้านต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะเป็นด้านบัญชี การเงิน การจัดซื้อ การผลิต การบริหารทรัพยากรบุคคล การขาย ซัพพลายเชน ไปจนถึงการบริการลูกค้า
โดยซอฟต์แวร์ของ SAP ทำหน้าที่เสมือน “โครงสร้างดิจิทัล” ให้กับองค์กรขนาดใหญ่ทั่วโลก ช่วยให้ข้อมูลไหลเวียนเชื่อมโยงกันอย่างมีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ
และนอกจาก ERP แล้ว SAP ยังมีโซลูชันอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นระบบ CRM สำหรับดูแลลูกค้า ระบบจัดการคู่ค้า (SRM) ระบบวิเคราะห์ข้อมูลทางธุรกิจ (Analytics) และโซลูชันเฉพาะทางสำหรับแต่ละอุตสาหกรรม ทั้งค้าปลีก ยานยนต์ การเงิน สุขภาพ และภาครัฐ จนเรียกได้ว่า SAP เป็นระบบที่ “ฝังรากลึก” ในองค์กรระดับโลก และเป็นหนึ่งในตัวแปรสำคัญที่ทำให้ธุรกิจขนาดใหญ่สามารถบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ท่ามกลางโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล
จุดเริ่มต้นของ SAP มาจากการเป็นสตาร์ทอัพเล็กในเมืองวัลดอร์ฟ ประเทศเยอรมนี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 1 เมษายน ปี 1972 โดย 5 วิศวกรจาก IBM ได้แก่ Dietmar Hopp, Hasso Plattner, Claus Wellenreuther, Klaus Tschira และ Hans-Werner Hector ที่ตัดสินใจลาออกมาตั้งบริษัทเป็นของตัวเอง
ทั้ง 5 มีวิสัยทัศน์ในแบบเดียวกันคือ ต้องการสร้างซอฟต์แวร์มาตรฐานระดับองค์กร ที่สามารถเชื่อมโยงทุกกระบวนการทางธุรกิจ และประมวลผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ จึงเกิดเป็นธุรกิจที่ชื่อว่า “Systemanalyse Programmentwicklung” ซึ่งแปลตรงตัวว่า “การพัฒนาโปรแกรมผ่านการวิเคราะห์ระบบ” หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ SAP ในปัจจุบัน
จนต่อมาเมื่อ SAP เริ่มขยายตัวออกนอกเยอรมนี และปรับเปลี่ยนรูปแบบจากการพัฒนาโปรแกรมเฉพาะให้กลายเป็นซอฟต์แวร์มาตรฐานสำหรับองค์กร จึงมีการปรับนิยามของชื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นในระดับสากล โดยใช้ชื่อว่า “Systems, Applications, and Products in Data Processing” ซึ่งก็มีตัวย่อตามเดิมเป็น SAP ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนผ่านเชิงกลยุทธ์ของบริษัท จาก “ซอฟต์แวร์เฮาส์ในเยอรมนี” ที่เน้นด้านวิเคราะห์ระบบ มาเป็น “ผู้ให้บริการโซลูชันองค์กรแบบครบวงจรระดับโลก” ที่มีฐานลูกค้าทั่วทุกมุมโลก
ปัจจุบัน SAP ใช้ชื่ออย่างเป็นทางการว่า SAP SE โดยคำว่า SE ย่อมาจาก Societas Europaea ซึ่งเป็นรูปแบบบริษัทมหาชนตามกฎหมายของสหภาพยุโรป แสดงถึงรากฐานและอัตลักษณ์ความเป็นยุโรปขององค์กร
SAP ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำระดับโลกด้านซอฟต์แวร์แอปพลิเคชันสำหรับองค์กร โดยเฉพาะในกลุ่ม ERP ที่ SAP ได้วางรากฐานและกลายเป็นมาตรฐานระดับโลกให้กับอุตสาหกรรมนี้มาอย่างยาวนาน และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา SAP ยังก้าวเข้าสู่บทบาทผู้นำในยุคใหม่อย่าง Business AI ด้วยการผสานเทคโนโลยีอัจฉริยะเข้าไปในทุกผลิตภัณฑ์ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลอัตโนมัติ ระบบผู้ช่วยเสมือน ไปจนถึงการคาดการณ์ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยขับเคลื่อนการตัดสินใจขององค์กรแบบเรียลไทม์
สำหรับ SAP เรียกได้ว่าเป็นบริษัทเทคโนโลยีที่กล้าได้กล้าเสียและมาก่อนกาล จนทำให้ติดท็อปบริษัทเทคยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน และยังเป็นผู้กำหนดทิศทางมาตรฐาน ERP ให้กับโลกธุรกิจ ซึ่ง SAP ไม่ได้แค่ช่วยองค์กรอื่น ๆ ทรานส์ฟอร์ม แต่ยังปรับตัวเองต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 1972
SAP เริ่มต้นทำงานในห้องดาต้าเซ็นเตอร์ของลูกค้ารายแรกคือ ICI สาขาเยอรมนี โดยมักทำงานกลางคืนและวันหยุดเพราะต้องใช้เมนเฟรมร่วมกับลูกค้า การทำงานใกล้ชิดกับลูกค้าจริงจึงกลายเป็นดีเอ็นเอของ SAP ตั้งแต่ต้น จนในปี 1973 ทาง SAP ก็ได้เปิดตัวระบบบัญชีการเงินตัวแรกชื่อว่า RF (ย่อจาก Real-Time Financials) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของระบบแบบโมดูลาร์ที่พัฒนาต่อมาเป็น SAP R/1 และในปี 1975 บริษัทได้ขยายระบบไปยังโมดูลอื่น เช่น ระบบการจัดซื้อและการบริหารคลังสินค้า จนกลายเป็นการวางรากฐานสำหรับการเป็นผู้นำด้าน ERP ในเวลาต่อมา
เมื่อความต้องการซอฟต์แวร์เพิ่มขึ้น SAP จึงเริ่มพัฒนาเวอร์ชันถัดไปคือ SAP R/2 ในปี 1979 ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งานในระดับสากล โดยเฉพาะในภาคอุตสาหกรรมและการผลิต โดยมีฟังก์ชันด้านการบริหารวัตถุดิบ (MM) และการวางแผนการผลิต (PP) เสริมเข้ามา
จนในปี 1980 ทาง SAP ก็มีพนักงานราว 80 คน และย้ายเข้าสู่สำนักงานของตัวเองที่เมืองวัลดอร์ฟ ซึ่งยังเป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทจนถึงทุกวันนี้ (ปัจจุบัน SAP มีพนักงานมากกว่า 109,000 คน จากกว่า 157 ประเทศทั่วโลก มีสำนักงานตั้งอยู่ใน 130 ประเทศ มีศูนย์พัฒนาซอฟต์แวร์กว่า 100 แห่งทั่วโลก และให้บริการด้านคลาวด์แก่ผู้ใช้งานมากกว่า 300 ล้านบัญชี)
ต่อมาเมื่ออินเทอร์เน็ตเริ่มครองโลกในช่วงปลายยุค 90 ทาง SAP จึงปรับตัวทันทีด้วยการเปิดตัว “mySAP.com” ในปี 1999 เป็นยุทธศาสตร์ใหม่เพื่อรองรับเว็บ และเข้าสู่ยุค e-Business อย่างเต็มตัว
นอกจากนี้ SAP ยังเร่งเครื่องเข้าสู่ 3 เทรนด์สำคัญในยุคใหม่ ซึ่งนั่นก็คือ เทคโนโลยีโมบายล์ ฐานข้อมูล (Database) และคลาวด์คอมพิวติ้ง จึงเดินเกมแบบใหม่ ผ่านการซื้อกิจการระดับพันล้านดอลลาร์ เช่น Business Objects (เชี่ยวชาญด้าน Business Intelligence), Sybase (เชี่ยวชาญด้านฐานข้อมูลและโมบายล์), Ariba (เครือข่ายจัดซื้อจัดจ้าง), SuccessFactors (HR บนคลาวด์), Fieldglass และ Concur (ระบบบริหารค่าใช้จ่ายและพนักงานชั่วคราว)
และช่วงนี้เองที่ SAP ได้ขยายตัวจากผู้เชี่ยวชาญด้าน ERP ไปสู่ “ผู้ให้บริการโซลูชันธุรกิจแบบครบวงจร” ที่พร้อมแข่งขันกับคู่แข่งรายใหญ่อย่าง Oracle
จนในปี 2011 ทาง SAP ได้ทำการเปิดตัว SAP HANA ฐานข้อมูลแบบ In-Memory ที่สามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลในเวลาไม่กี่วินาที ถือเป็นการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยี จากนั้นในปี 2015 บริษัทได้เปิดตัว SAP S/4HANA ซึ่งเป็นระบบ ERP เจเนอเรชันใหม่ที่ออกแบบมาให้ทำงานบน HANA โดยเฉพาะ พร้อมรองรับการทำงานแบบเรียลไทม์ อินเตอร์เฟซใหม่ และโมเดลข้อมูลที่เรียบง่ายขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น SAP ยังผลักดันแนวคิด “องค์กรอัจฉริยะ เชื่อมโยงกัน และยั่งยืน” ด้วยการรวมทุกโซลูชันให้ทำงานอยู่บนแพลตฟอร์มเดียว เช่น S/4HANA Cloud และ SAP Business Technology Platform ตามปรัชญาการ “เชื่อมโยงทุกกระบวนการไว้ในระบบเดียว” ซึ่งเป็นหัวใจของ SAP มาตั้งแต่วันแรก และยังคงถูกพัฒนาต่อไปด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าขึ้นอย่างมหาศาล
SAP มีรายได้จากหลายช่องทาง โดยเชื่อมโยงกับทั้งซอฟต์แวร์และบริการต่าง ๆ ที่บริษัทนำเสนอให้ลูกค้าองค์กรทั่วโลก ซึ่งโมเดลรายได้ของ SAP ในปัจจุบันได้เปลี่ยนโฉมจากเดิมที่เน้นการขายขาด มาเป็นรูปแบบรายได้ประจำ (Recurring Revenue) ที่มีความมั่นคงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง
เช่นเดียวกับบริษัทซอฟต์แวร์อื่น ๆ ในอดีต SAP มีรายได้หลักมาจากการขายไลเซนส์ซอฟต์แวร์แบบ On-Premises ให้กับลูกค้าองค์กร โดยลูกค้าจะจ่ายเงินก้อนเดียวเพื่อใช้งานตลอดชีพ พร้อมกับซื้อสัญญาบำรุงรักษารายปี (Maintenance Contract) ที่ครอบคลุมการอัปเดตแพตช์ ระบบความปลอดภัย และบริการสนับสนุนทางเทคนิค
โดยในช่วงต้นปี 2020 รายได้จากไลเซนส์และการสนับสนุนยังสูงมาก ยกตัวอย่างเช่น ปี 2020 ที่ SAP รายงานรายได้รวมจากช่องทางนี้ที่ประมาณ 18,800 ล้านยูโร (ประมาณ 21,330 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ต่อปี
และแม้ว่าในช่วงหลังยอดขายไลเซนส์จะลดลงตามเทรนด์การย้ายขึ้นคลาวด์ แต่รายได้จากสัญญาบำรุงรักษาของลูกค้าเดิมก็ยังมีมูลค่าสูง เพราะหลายองค์กรยังคงใช้ SAP เวอร์ชันดั้งเดิมในระบบหลักของตัวเอง
เพื่อตอบรับกับยุค Cloud-First ทาง SAP จึงได้เปลี่ยนโมเดลธุรกิจมาเป็นการให้บริการซอฟต์แวร์แบบสมัครสมาชิก (Subscription) แทนการขายขาด โดยลูกค้าจะจ่ายรายเดือนหรือรายปีเพื่อเข้าถึงบริการบนคลาวด์ เช่น SAP S/4HANA Cloud, ซอฟต์แวร์สาย HR (SuccessFactors), ระบบจัดซื้อจัดจ้าง (Ariba), ระบบค่าใช้จ่าย (Concur)
ซึ่งรูปแบบการจ่ายรายเดือนเหล่านี้จะรวมบริการแบบครบวงจร ทั้งโฮสติ้ง การอัปเดตระบบอัตโนมัติ และการสนับสนุนทางเทคนิค ซึ่งกลายเป็นจุดขายสำคัญในยุคนี้
โดยพบว่า ในปี 2024 รายได้จากคลาวด์ของ SAP พุ่งแตะ 17,140 ล้านยูโร (ประมาณ 19,450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของรายได้รวมของบริษัท และเติบโตจากปีก่อนถึง 25%
นอกจากนี้ SAP ยังมีรายได้จาก Platform-as-a-Service และ Infrastructure-as-a-Service ภายใต้ SAP Business Technology Platform ซึ่งเสริมรายได้คลาวด์ให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ปัจจุบันคลาวด์กลายเป็นแหล่งรายได้หลักแทนไลเซนส์แบบดั้งเดิมอย่างเป็นทางการแล้ว
SAP ยังมีรายได้อีกช่องทางจากบริการที่ปรึกษาและบริการวิชาชีพ ที่ช่วยลูกค้าในการติดตั้ง ปรับแต่ง และใช้งานซอฟต์แวร์ SAP ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยทีมที่ปรึกษา (ทั้งภายในและพันธมิตร) จะให้บริการตั้งแต่บริหารโปรเจกต์ ปรับแต่งระบบตามความต้องการเฉพาะ อบรมให้กับผู้ใช้งานและฝ่าย IT ขององค์กร
นอกจากนี้ ลูกค้าบางรายยังเลือกซื้อบริการสนับสนุนแบบพรีเมียม ที่เน้นให้คำปรึกษาเชิงกลยุทธ์และเจาะลึกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม แม้บริการสายที่ปรึกษาจะเป็นสัดส่วนรายได้ที่น้อยกว่าไลเซนส์และคลาวด์ แต่ก็ถือเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ลูกค้าประสบความสำเร็จในการใช้งานระบบ และช่วยให้เกิดการใช้งานซ้ำในระยะยาว โดยในรายงานไตรมาสล่าสุด SAP มีรายได้จากบริการกลุ่มนี้เกือบแตะ 1,110 ล้านยูโร (ประมาณ 1,260 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) หรือราว 15-20% ของรายได้รวมต่อไตรมาส
ซึ่งในปีงบประมาณ 2024 (FY2024) SAP รายงานรายได้รวมอยู่ที่ 34,176 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 10% จากปี 2023 ที่มีรายได้ 31,207 ล้านยูโร สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการใช้งานโซลูชันของ SAP ที่ยังแข็งแรงทั่วโลก
ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ บริษัทที่มักจะครองแชมป์เป็นยักษ์ใหญ่ในยุโรปคงหนีไม่พ้นผู้ผลิตยา หรือบริษัทแฟชั่นอย่าง LVMH แต่ล่าสุด SAP บริษัทเทคโนโลยีก็ได้แซงหน้าเป็นอันดับ 1 ไปแล้วเรียบร้อย โดยปัจจัยหลักมาจากแรงหนุนทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค AI ที่ไม่ว่าใครก็ต้องเข้าใจและใช้งาน
ซึ่ง SAP ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการซอฟต์แวร์องค์กรรายใหญ่ แต่ยังมี “จุดแข็ง” และ “ความแตกต่าง” หลายประการที่ช่วยให้บริษัทครองความเป็นผู้นำในตลาดระดับโลกมานานหลายทศวรรษ ซึ่งแต่ละข้อได้เปรียบเหล่านี้เปรียบเสมือนคูเมืองที่คอยปกป้องธุรกิจจากการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม
และเมื่อไม่นานมานี้ SAP ก็ได้จัดงานใหญ่อย่าง SAP Sapphire 2025 งานประจำปีที่รวมข้อมูล นวัตกรรม และแผนใหม่ ๆ ของ SAP ไว้ในที่เดียว ซึ่งในงานนี้ซีอีโอ Christian Klien ก็ได้ขึ้นกล่าวบนเวที Keynote ถึงเป้าหมายและแนวทางของ SAP และการเดินหน้าเป็น Business Transformation Company ต่อ โดยแผนต่อไปคือการมุ่งหน้าพัฒนาด้วย AI
“สำหรับ SAP แล้ว Business AI ไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่มันคือของจริงที่เกิดขึ้นแล้ววันนี้ เรานำ AI มาทำงานร่วมกันแบบครบวงจร เพื่อช่วยให้ลูกค้าทุกคนบริหารธุรกิจได้อย่างแม่นยำ มองเห็นภาพรวมไว และตัดสินใจได้ดีขึ้นแม้ในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เราจะไม่หยุดฟังเสียงของลูกค้า ไม่หยุดพัฒนา และจะเดินไปกับทุกคนในทุกก้าวของโลกที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิม” Christian Klien กล่าว
ที่มา: SAP [1][2][3][4][5], CNBC, Untaylored, Ignite SAP, Reuters, Companies Marketcap
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney