
พิทยา วรปัญญาสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เปิดเผยว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่ท้าทายมาก ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดี ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ Geo-politics ซึ่งเคทีซีในฐานะผู้ทำธุรกิจสินเชื่อรายย่อย ก็หาลูกค้าใหม่ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ในปี 2568 เคทีซีนับว่าทำได้ดี โดยส่วนหนึ่งของความสำเร็จมาจากการเดินตามแผนที่ได้วางไว้ในเรื่อง Digital Transformation, AI, และการนำเทคโนโลยีมาใช้ปรับปรุงกระบวนการคิด การวางกลยุทธ์ และการปฏิบัติงาน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพและการควบคุมค่าใช้จ่าย ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลประกอบการดีขึ้น
ส่วนปี 2569 ยังคงมีความท้าทายอยู่ แต่เคทีซีเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจของประเทศจะดีขึ้นได้ ขณะเดียวกัน แผนงานหลักที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนระบบ Core System ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่ต้องดำเนินการอย่างระมัดระวัง เนื่องจากระบบเดิมใช้มานานกว่า 10 ปี
สำหรับการเปลี่ยนระบบนี้มีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว ช่วยให้บริษัทแข่งขันได้ดีขึ้น และลดต้นทุน
ทั้งนี้ Core System ใหม่จะช่วยลดงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ และเปิดโอกาสให้บุคลากรได้ใช้เวลาไปกับการพัฒนาตนเอง
อีกทั้ง ในปี 2569 เคทีซีจะรวบรวมข้อมูลสมาชิกทั้งช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ แอปพลิเคชันและโซเชียลมีเดียให้ครบวงจรขึ้น ผ่าน Customer Data Platform (CDP) ซึ่งเป็นเครื่องมือที่จะทำให้สามารถรวบรวมข้อมูลสมาชิกทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว เพื่อช่วยให้ทำการตลาดเฉพาะกลุ่มได้แม่นยำขึ้น ยกระดับความปลอดภัยในการบริหารจัดการด้านข้อมูลสมาชิก ทำให้กระบวนการทำงานภายในรวดเร็วขึ้น
โดยเชื่อว่าการลงทุนเทคโนโลยีครั้งนี้จะช่วยเร่งเพิ่มประสิทธิภาพและสร้างการเติบโตของรายได้อย่างยั่งยืน คุมพอร์ตโตอย่างมีคุณภาพ
สำหรับเป้าการเติบโตในปี 2569 คาดว่าจะปรับลดลงจากปีที่ผ่านมา (ซึ่งเคยตั้งไว้ที่อย่างต่ำ 10%) เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ โดยจะเป็นการเติบโตที่มากับความระมัดระวัง เน้นการหาลูกค้าฐานใหม่และดูแลคุณภาพของลูกค้าฐานเก่า
สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจปัจจุบันคือ ความสามารถ ความยืดหยุ่น และการปรับตัวตลอดเวลา ซึ่ง เคทีซีจะทำสิ่งเหล่านี้ ก็ด้วยการให้ความสำคัญกับการลงทุนในบุคลากร (Upskill/Reskill) อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น
ประณยา นิถานานนท์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานการตลาดบัตรเครดิต บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า ปี 2568 ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตน่าจะเติบโตได้ 4% บวกลบ แม้ก่อนหน้านี้จะตั้งเป้าหมายโต 10% ขณะที่อุตสาหกรรมโตไม่ถึง 1%
สำหรับปี 2569 ตั้งเป้าหมายการเติบโตการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตไว้ที่ 5% และเพิ่มจำนวนสมาชิกใหม่ 250,000 ราย โดยทำผ่าน 4 กลยุทธ์ ได้แก่
พิชามน จิตรเป็นธรรม ผู้บริหารสูงสุด สายงานสินเชื่อบุคคล บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า ปัจจุบัน KTC ให้บริการสินเชื่อส่วนบุคคล 2 ผลิตภัณฑ์หลัก คือ บัตรกดเงินสด KTC PROUD และ สินเชื่อจำนำทะเบียนรถ KTC พี่เบิ้ม รถแลกเงิน ทั้งนี้ พอร์ตสินเชื่อโดยรวมยังคงเติบโตได้ดี แม้ว่าอุตสาหกรรมจะมีความเข้มงวดในการหาลูกค้าใหม่ที่มีคุณภาพสูง
“ปีนี้ (2568) คงจบไปได้สวยๆ ส่วนปีหน้า (2569) จะมีความท้าทายรออยู่ ซึ่งแนวทางหลักขององค์กรเพื่อทำให้ได้ตามเป้าหมายในปี 2569 คือการใช้ตัว Digital Transformation เข้ามาช่วยพัฒนาผลิตภัณฑ์ หรือบริการของเราให้แข่งขันได้ พร้อมกับตอบสนองผู้บริโภคได้ดี” พิชามน กล่าว
โดยแผนงานหลักสำหรับสินเชื่อส่วนบุคคล ปี 2569 จะครอบคลุม 5 เรื่องคือ
วิไลวรรณ นพรัตน์ ผู้บริหารสูงสุด สายงานเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC เผยว่า เรื่อง Digital Transformation ไม่ใช่การทำเพียง 1-2 ปีเท่านั้น แต่เป็นกระบวนการทำที่ต่อเนื่องและพัฒนาตลอดเวลา ดังนั้น ในส่วนงานของไอทีในปี 2569 จะมีแผนงานหลัก 3 เรื่อง ได้แก่
เปลี่ยนระบบรับชำระหลัก (Core System) ที่ใช้มา 10 ปี สู่ Cloud Native อย่างเต็มรูปแบบ ช่วยเพิ่มความเร็ว รองรับการขยายตัวแบบ Auto Scale และลดต้นทุน
พัฒนา Customer Data Platform รวมข้อมูลจากทุกช่องทางทุกกิจกรรมทุกพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า มาใช้ AI วิเคราะห์เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่ตรงใจในเวลาที่เหมาะสม
นำ AI มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการพัฒนาระบบงานหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Underwriting (การพิจารณาประเมินความเสี่ยงและอนุมัติสินเชื่อ), Onboarding (การรับลูกค้าใหม่) , Fraud Detection (การตรวจจับการทุจริต) และ Marketing (การตลาด)
รจนา อุษยาพร ผู้บริหารสูงสุด สายงานการเงิน บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC กล่าวว่า สำหรับปี 2569 การเติบโตของธุรกิจเคทีซีมีเป้าหมายแบบ Conservative คือคาดว่าจะโต 1-2% พร้อมกับการควบคุม NPL Ratio (หนี้เสีย) ต้องไม่เกิน 2% ของพอร์ตสินเชื่อ เช่นเดียวกับปี 2568
อีกทั้งยังวางแผนเงินกู้ยืมระยะยาว วงเงิน 12,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตและการลงทุนด้านเทคโนโลยี ทั้งเรื่อง Core System และ IT Infrastructure ใหม่ๆ เพื่อรองรับเป้าหมายการเติบโตระยะยาว ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินลดลง 15-20 Basis Point จากปี 2568 ที่อยู่ที่ 3.41% และมั่นใจว่ากำไรปี 2569 จะสูงกว่าปี 2568
“เตรียมกู้ยืมเงินระยะยาว หรือ ออกหุ้นกู้ 12,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตและเพื่อทดแทนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2569 มูลค่ารวมเกือบ 16,000 ล้านบาท และจะใช้ส่วนผสมทั้งการกู้ระยะสั้นและระยะยาว” รจนา กล่าว
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney