
ตลอดสองปีที่ผ่านมา โลกเทคโนโลยีต่าง “ทุ่มหมดหน้าตัก” ให้กับปัญญาประดิษฐ์ ตั้งแต่การสร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ การออกแบบชิปประมวลผลรุ่นใหม่ ไปจนถึงการพัฒนาโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large Language Models: LLMs) ที่กลายเป็นหัวใจของคลื่น Generative AI
บริษัทอย่าง OpenAI, Anthropic, Google, Nvidia หรือแม้แต่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ต่างเร่งแข่งขันในสนามนี้ โดยมีเงินลงทุนระดับหลายแสนล้านดอลลาร์เป็นเดิมพัน ในการแข่งขันที่เรียกว่า “AI Infrastructure Race” กำลังเร่งสร้างสมองกลที่ใหญ่และฉลาดที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์
รายงานจาก McKinsey ประเมินว่า ภายในปี 2040 โลกจะต้องการเงินลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานกว่า 106 ล้านล้านดอลลาร์ เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี โดยกว่า 19 ล้านล้านดอลลาร์ จากตัวเลขนี้จะอยู่ในหมวด “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล” (Digital Infrastructure) ตั้งแต่เครือข่ายไฟเบอร์ออปติก ไปจนถึงศูนย์ข้อมูลระดับ hyperscale ที่ใช้ประมวลผลโมเดล AI ขนาดใหญ่ สะท้อนให้เห็นว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลกำลังกลายเป็น “ระบบสาธารณูปโภคแห่งศตวรรษที่ 21” ที่สำคัญไม่แพ้พลังงานหรือคมนาคม
เมื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เริ่มกระจุกอยู่ในกลุ่มทุนขนาดใหญ่ โลกจึงเริ่มตั้งคำถามว่า “แล้วใครจะเป็นผู้ใช้ประโยชน์จากสมองกลเหล่านี้ได้จริง?” และในจุดนี้เองที่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญ ในฐานะหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่เข้าใจว่า “อนาคตของ AI ไม่ได้อยู่ที่ใครมีสมองกลที่ฉลาดที่สุด แต่คือใครมีทรัพยากรและพลังงานมากพอให้สมองเหล่านั้นทำงานได้จริง”
การประกาศโครงการ Stargate UAE จึงกลายเป็นหมุดหมายสำคัญที่ส่งแรงกระเพื่อมไปทั่วโลกเทคโนโลยี เมื่อยักษ์ใหญ่อย่าง OpenAI, Nvidia, Oracle และ SoftBank Group รวมพลังกับ G42 แห่งยูเออี เพื่อสร้าง “ศูนย์ AI ที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ณ กรุงอาบูดาบี ซึ่งมีกำหนดเปิดเฟสแรกในปี 2026
ข้อได้เปรียบของ UAE ไม่ใช่แค่เงินทุนหรือพื้นที่ แต่คือ “พลังงานสะอาด” จาก โรงไฟฟ้านิวเคลียร์บาราคา (Barakah Nuclear Power Plant) ที่สามารถจ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องให้กับศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมานี้ ซึ่งต่างจากประเทศส่วนใหญ่ที่กำลังเผชิญปัญหาความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูงจากศูนย์ข้อมูล AI ทั่วโลก
ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าว Thairath Money เข้าร่วมงาน GITEX Global 2025 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และได้มีโอกาสพูดคุยกับ Thomas Pramotedham ซึ่งเป็น CEO ของ Presight บริษัทด้าน Big Data Analytics และ AI ในเครือ G42 ถึงมุมมองการลงทุนด้าน AI หลังจากที่ทุกคนทั่วโลกทุ่มทุนสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งตอนนี้มีมากในระดับโลก จนเริ่มอิ่มตัว การอยู่รอดในระยะต่อไปคืออะไร ที่จะทำให้ความ hype ของเทคโนโลยีนี้ไม่ซ้ำรอยยุคฟองสบู่ดอทคอม
Thomas Pramotedham ซีอีโอของ Presight กล่าวว่า “ช่วงที่ผ่านมา ทุกคนต่างแข่งขันกันสร้างโมเดลที่ใหญ่ขึ้น ฉลาดขึ้น แต่ในที่สุดโลกก็เริ่มเห็นแล้วว่า ขนาดของโมเดลไม่ได้การันตีผลลัพธ์ทางธุรกิจเสมอไป”
เขามองว่าอุตสาหกรรมกำลังเคลื่อนจาก “ยุคของ Model Race” ไปสู่ “ยุคของ Applied AI” นั่นคือ การนำเทคโนโลยีไปใช้ในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อแก้ปัญหาจริง ตั้งแต่สาธารณสุข พลังงาน ไปจนถึงความมั่นคงของประเทศ
“มูลค่าที่สูงของสตาร์ทอัพ AI ควรถูกวัดจากการมี ลูกค้าที่ยินดีจะจ่ายเงินสำหรับผลิตภัณฑ์นั้นหรือไม่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึง ROI จริง การสร้างรายได้มาจากการประยุกต์ใช้ ไม่ใช่แค่ขนาดของโมเดล” Thomas กล่าว
นอกจากนี้เราได้ยังได้พูดคุยกับ Trixie LohMirmand ซึ่งเป็น Executive Vice President ของ Dubai World Trade Centre (DWTC) และผู้จัดงาน GITEX Global ที่ได้ให้มุมมองที่สอดคล้องกัน ที่มองว่าคลื่น AI ปัจจุบันไม่ใช่ “ฟองสบู่” แบบยุคดอทคอม
“สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ไม่ใช่ความเชื่อของกลุ่มเล็ก ๆ อีกต่อไป แต่เป็นการลงทุนที่แท้จริงจากรัฐบาล กองทุนความมั่งคั่ง และนักลงทุนทั่วโลก” Trixie LohMirmand กล่าวกับ Thairath Money
พร้อมกันนี้เธอยังเผยว่าเฉพาะในปีนี้ เงินทุนกว่า 400,000 ล้านดอลลาร์ ได้หลั่งไหลเข้าสู่เศรษฐกิจ AI แล้ว ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นเชิงโครงสร้างในระยะยาวของเทคโนโลยีนี้ AI กำลังกลายเป็น DNA ของทุกภาคส่วน ตั้งแต่การแพทย์ การศึกษา ไปจนถึงการเกษตรและภาครัฐ ความเสี่ยงจึงถูกกระจายออกไปทั่วระบบ
และสิ่งที่เร่งด่วนที่สุดในตอนนี้คือการพิสูจน์ให้เห็น “กรณีการใช้งานจริง (real-world use cases)” เพราะนั่นจะเป็นตัวชี้วัดว่า AI จะสร้างผลกระทบได้ยั่งยืนแค่ไหน
สำหรับ Presight บริษัทในเครือ G42 ที่ถูกวางบทบาทให้เป็น “AI integrator” ของประเทศ UAE ได้พัฒนาโซลูชันที่สามารถนำข้อมูลจากหลายแหล่งมาวิเคราะห์เชิงลึก และแปลงเป็นการตัดสินใจในระดับนโยบายได้จริง เช่น
ระบบวิเคราะห์ข้อมูลสุขภาพระดับประเทศ
การบริหารจัดการน้ำและพลังงาน
ระบบความปลอดภัยในเมือง (Smart City Intelligence)
Thomas อธิบายว่า “Applied AI” คือจุดที่เม็ดเงินการลงทุนจะเริ่มไหลเข้ามาจริง เพราะองค์กรเริ่มต้องการเห็นผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ ไม่ใช่แค่ Proof of Concept โดยในอีก 3–5 ปีข้างหน้า บริษัทที่จะอยู่รอด ไม่ใช่คนที่สร้างโมเดลที่ใหญ่ที่สุด แต่คือคนที่ใช้โมเดลเหล่านั้นได้คุ้มค่าที่สุด
การที่ UAE สามารถดึงพันธมิตรระดับโลกอย่าง OpenAI, Nvidia, Oracle และ SoftBank เข้ามาร่วมในโครงการ Stargate ไม่ได้มีเป้าหมายเพียงสร้างโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกเท่านั้นแต่คือ การวางรากฐานให้เศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนด้วย AI อย่างยั่งยืน ผ่านการใช้งานในภาคพลังงาน โลจิสติกส์ การแพทย์ และการบริหารเมือง
นอกจากนี้แล้ว Presight ได้ออกแบบโปรแกรม AI Accelerator ที่ไม่ใช่ศูนย์บ่มเพาะเชิงวิจัย แต่เป็นแพลตฟอร์มเพื่อพิสูจน์ว่า “AI ตัวไหนขายได้ในตลาดจริง” โดยสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมจะได้รับทั้งเงินสนับสนุน พลังประมวลผลจาก Microsoft มูลค่า 150,000 ดอลลาร์ และที่สำคัญที่สุด คือ ต้องมีลูกค้าจริงในเครือข่ายของ Presight
“ถ้าสตาร์ทอัพได้พบลูกค้าทั้งหมดของเราแล้ว แต่ยังขายอะไรไม่ได้เลย แปลว่าเราเลือกผิด” CEO Presight กล่าว
ล่าสุด Presight ประกาศตั้ง กองทุนมูลค่า 100 ล้านดอลลาร์ร่วมกับ Shorooq Partnersเพื่อร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพ Applied AI ที่มีศักยภาพและเชื่อมโยงเข้ากับตลาดจริงในเครือข่ายของ G42 กลายเป็นสะพานเชื่อมระหว่าง “นวัตกรรม” และ “รายได้” อย่างเป็นรูปธรรม
Thomas ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับ Applied AI อีกว่า สิ่งนี้ไม่ได้หมายถึงการสร้างโมเดลใหม่ขึ้นมา แต่คือการนำโมเดลที่มีอยู่แล้ว เช่น GPT, Claude หรือ Gemini มาปรับจูน (fine-tune) ให้เข้าใจบริบทธุรกิจเฉพาะทาง เช่น ระบบ AI ที่ช่วยคาดการณ์พลังงานในเมืองร้อนแบบดูไบหรือระบบตรวจสอบการทุจริตที่เข้าใจภาษาทางการของหน่วยงานรัฐในภูมิภาคตะวันออกกลางโมเดลเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใหญ่ที่สุดในโลก แต่ต้อง “เข้าใจโจทย์จริง” มากที่สุด
ทั้งนี้ Presight เปรียบเทียบคลื่น AI ในวันนี้กับยุคเริ่มต้นของอินเทอร์เน็ต ช่วงเวลาที่บริษัทเล็ก ๆ มากมายสามารถสร้างมูลค่ามหาศาลจากการออกแบบเว็บไซต์หรือสร้างระบบ CRM ออนไลน์ ทั้งที่โครงสร้างพื้นฐานของอินเทอร์เน็ตสร้างโดยบริษัทไม่กี่รายเท่านั้น
“ในยุคนั้น ผมทำเว็บเพจ HTML หนึ่งหน้าได้ 5,000 ดอลลาร์ โดยไม่ต้องสร้างเบราว์เซอร์หรือโครงข่ายอินเทอร์เน็ตเอง” CEO Presight กล่าว
เพราะสำหรับ Presight เราคือ บริษัทที่โฟกัสใน Applied AI ทั้งหมด ไม่ใช่การสร้างสมอง แต่คือการนำ AI ไปแก้ปัญหาจริงในแต่ละอุตสาหกรรม โดย Presight เชื่อว่า การหารายได้จาก AI จะเกิดขึ้นในจุดที่โมเดลเข้าใจโดเมนเฉพาะ ไม่ใช่จากการสร้างสมองที่ใหญ่กว่าเดิม โดย Presight เชื่อว่า “ชั้นถัดไปของการสร้างมูลค่าจาก AI” (the next monetization layer of AI) จะเกิดขึ้นในจุดที่โมเดลเข้าใจบริบทเฉพาะทางของอุตสาหกรรม มากกว่าการแข่งสร้างสมองกลที่ใหญ่กว่าเดิม
ทั้งนี้ Trixie ปิดท้ายด้วยภาพอนาคตของงาน GITEX 2026 ที่จะขยับไปสู่แนวคิด “5.0 Industries” อุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่หลอมรวมเทคโนโลยีขั้นสูงเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ Quantum Computing, Biotech, Physical AI & Robotics, Cybersecurity ไปจนถึง Advanced Manufacturing และ Semiconductor
“AI จะไม่ใช่เพียงซอฟต์แวร์อีกต่อไป แต่มันจะฝังอยู่ในทุกอุตสาหกรรมจริง ๆ” Trixie กล่าว
และนั่นคือภาพของคลื่นใหม่ที่กำลังมา จากยุคของ “Model Race” ที่วัดกันด้วยขนาดโมเดล สู่ยุคของ Applied AI ที่วัดกันด้วย ผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจจริง คลื่นที่ไม่ได้แค่ “สร้างสมองกล” แต่สร้าง “เศรษฐกิจใหม่” ให้ทั้งโลก