
หลังจากหนึ่งทศวรรษของเศรษฐกิจดิจิทัลที่เติบโตด้วยแอปพลิเคชัน มือถือ และแพลตฟอร์มออนไลน์ โลกกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ที่เศรษฐกิจจะถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นกว่า หรือที่เรียกกันว่า Deep Technology ที่หลายคนเชื่อว่านวัตกรรมในกลุ่มนี้จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลก
ย้อนกลับไปในปี 2022 มีสิ่งหนึ่งที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม การใช้ชีวิตของคนเราไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อบริษัทเล็ก ๆ ที่ชื่อ OpenAI ได้เปิดตัว ChatGPT ในตอนที่ยังเป็นแค่ศูนย์วิจัยด้าน AI แต่แล้ววันนี้กลับกลายเป็นหัวใจของเศรษฐกิจใหม่ที่ทำให้ยักษ์ใหญ่ระดับโลกต้องปรับตัว
นี่คือเพียงจุดเริ่มต้นของสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่า “Deep Tech Economy” หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมระดับลึก ซึ่งไม่ได้มีแค่ AI แต่จะเป็นขั้นกว่าที่เข้ามาช่วยแก้ปัญหาที่ก่อนหน้านี้มนุษย์นั้นยังแก้ไขไม่ได้
เทคโนโลยีเชิงลึก (Deep Technology) หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า Deep Tech ถูกนิยามตาม United Nations Development Programme ว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะเข้ามาพลิกโฉมทุกวงการ โดยเทคโนโลยีนี้มีรากฐานมาจากการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมทางวิศวกรรม หรือความก้าวหน้าทางการวิจัยครั้งสำคัญ ในสาขาต่าง ๆ เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา และวิทยาการคอมพิวเตอร์ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าส่งตรงมาจากห้องแล็บ
โดยจะแตกต่างจากเทคโนโลยีทั่วไปที่มักมุ่งเน้นไปที่การสร้างนวัตกรรมเพื่อทำเป็นธุรกิจ ออกแบบผลิตภัณฑ์เพื่อผู้ใช้ หรือการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไป (Incremental Improvement) แต่ Deep Tech จะมีเป้าหมายเพื่อแก้โจทย์ที่ซับซ้อนระดับโครงสร้าง จะเป็นเทคโนโลยีล้ำสมัยหรือเทคโนโลยีเกิดใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาสังคมเชิงลึกที่โลกกำลังเผชิญอยู่
ซึ่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมในกลุ่ม Deep Tech นี้ยังถือเป็นกุญแจสำคัญในการแก้โจทย์ความท้าทายระดับโลกของมนุษยชาติ ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พลังงานสะอาด ไปจนถึงการดูแลสุขภาพอย่างยั่งยืน
สำหรับ Deep Tech ที่น่าจับตาที่ถูกมองว่าเป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ปัจจุบันมีหลายอย่างกำลังอยู่ในช่วงวิจัยและพัฒนา และจากข้อมูลของ European Institute of Innovation & Technology มีการยกเทคโนโลยีในกลุ่ม Deep Tech ที่สำคัญไว้ดังนี้
ที่ผ่านมา AI ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมและเศรษฐกิจไปไม่น้อย ส่วนในภาพของ Deep Tech เอง มีรายงานออกมาว่า ตลาด Deep Tech จะมีมูลค่าสูงถึง 714,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2031 โดยจะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละมากถึง 48.2% เลยทีเดียว
ภาพรวมตลาด Deep Tech กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยมี AI, ควอนตัม และเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotech) เป็นผู้นำในตลาด และด้วยความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ยังคงเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง จึงช่วยกระตุ้นให้เงินลงทุนเข้าสู่ตลาดนี้สูงขึ้นตามมา และก็หนีไม่พ้นมีสหรัฐอเมริกาและยุโรปเป็นศูนย์กลางที่ได้รับเงินทุนด้านนี้สูงที่สุด
ที่ผ่านมา การลงทุนจาก Venture Capital ในสตาร์ทอัพสาย Generative AI พุ่งขึ้นเกือบสองเท่าเป็น 45,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของจุดศูนย์กลางนวัตกรรมของโลก
สตาร์ทอัพด้าน AI โดยบางรายมีมูลค่าซื้อขายที่สูงถึง 70 เท่าของรายได้
เทคโนโลยี GenAI เพียงอย่างเดียว อาจสร้างมูลค่าเพิ่มให้เศรษฐกิจโลกได้มากถึง 2.6-4.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี โดยช่วยยกระดับประสิทธิภาพการผลิตในหลายอุตสาหกรรม เช่น ธนาคาร เทคโนโลยีชั้นสูง และวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Life Sciences)
เทคโนโลยีอย่างเช่น Spatial Computing, Agentic AI, และ Quantum Computing กำลังเปิดประตูสู่ตลาดใหม่ในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น สาธารณสุข การศึกษา และความบันเทิง
ตัวอย่างเช่น ในอุตสาหกรรมชีวเทคโนโลยี (Biotech) ที่มีการค้นคว้ายาโดยใช้ AI และการแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine) ที่ช่วยเร่งกระบวนการพัฒนาการรักษาให้รวดเร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น
AI ถูกคาดการณ์ว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ 3-6 กิกะตันของคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปีภายในปี 2035 โดยการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบพลังงาน อาหาร และการขนส่ง
มีสตาร์ทอัพสาย Deep Tech หลายรายกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนาด้านพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) เทคโนโลยีดักจับคาร์บอน (Carbon Capture) และห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน (Sustainable Supply Chains) ซึ่งมุ่งแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรโลกโดยตรง
ความเป็นผู้นำด้าน Deep Tech กำลังกลายเป็นยุทธศาสตร์ระดับชาติที่เชื่อมโยงโดยตรงกับความมั่นคงและอำนาจทางเศรษฐกิจของประเทศ อย่างที่เห็นได้ชัดในการเติบโตของบิ๊กเทคในสหรัฐอเมริกา
หรือตัวอย่างจากทางยุโรปที่ได้เพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยี AI รุ่นใหม่ เป็นสองเท่าหรือราว 3,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 เพราะตระหนักว่าความเชี่ยวชาญในด้าน AI, Quantum Computing และฮาร์ดแวร์ขั้นสูง จะเป็นตัวกำหนดอำนาจของประเทศในอนาคต
ความต้องการทักษะด้าน AI, Machine Learning และ Data Science กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยสัดส่วนของประกาศรับสมัครงานที่ระบุว่าต้องมีทักษะด้าน Machine Learning เพิ่มจาก 7% เป็น 14% ในปี 2025
และก็มีหลายโครงการที่ตั้งขึ้นมาใหม่ โดยมีเป้าหมายที่จะสร้างทักษะ ยกระดับทักษะ และปรับทักษะใหม่ ให้กับผู้คนในด้าน Deep Tech เพื่อลดช่องว่างทางทักษะลง
ร่วมค้นหาโอกาสใหม่ใน The Next New Economy ที่จะพลิกโฉมเศรษฐกิจมหภาค และนิยามการทำธุรกิจใหม่ ในยุคที่เทคโนโลยีระดับลึกพลิกชีวิตและมนุษย์อยู่ยืนยาวกว่าที่เคย
📅 27 ตุลาคม 2568 | เวลา 18.00–20.30 น.
📺 รับชมพร้อมกันทาง LIVE ทาง Facebook เพจ Thairath TV และ YouTube ช่อง Thairath News – ข่าวไทยรัฐ
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney