
เมื่อพูดถึง AI ในยุคนี้ หลายคนคงมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไปตามประสบการณ์และความสนใจ บ้างก็อาจมองว่า AI คือหุ่นยนต์ที่มาแย่งงาน หรือเครื่องมือช่วยงานให้เสร็จเร็วขึ้น แต่ความจริงที่เกิดขึ้นตอนนี้ อาจไกลเกินกว่าภาพเหล่านั้นมากกว่าที่เราคิด
ผู้สื่อข่าว Thairath Money ฟังการสนทนาในหัวข้อ "From Early Adoption to AI-Native Societies: Envisioning the Next Era of Intelligence" ระหว่าง Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI และ Peng Xiao ซีอีโอของกลุ่ม G42 ในงาน Gitex Global 2025 ที่ดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์
นี่คือการพบกันของสองผู้นำใหญ่ในวงการ AI ที่ไม่ได้พูดแค่เรื่องธุรกิจหรือความร่วมมือทั่วไป แต่พูดถึงยุคใหม่ที่ AI กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ชวนให้เรามอง AI ในมุมที่หลายคนอาจยังไม่ได้สนใจ โดยเฉพาะเรื่องที่ AI กำลังเปลี่ยนชีวิตเรามากกว่าที่คิด
สำหรับ G42 เป็นบริษัทเทคโนโลยี AI ชั้นนำของ UAE ที่มีฐานอยู่ในอาบูดาบี ทำงานหลากหลายด้านตั้งแต่การพัฒนา AI, Cloud Computing, Healthcare Technology ไปจนถึง Smart City Solutions โดยมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้ UAE กลายเป็นศูนย์กลาง AI ของภูมิภาคตะวันออกกลาง
โดยความสัมพันธ์ระหว่าง G42 กับ OpenAI เริ่มชัดเจนขึ้นเมื่อทั้งสองบริษัทประกาศความร่วมมือในโครงการ Stargate UAE ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI ระดับชาติสำหรับ UAE และภูมิภาค โดย G42 ทำหน้าที่เป็นพันธมิตรหลักในตะวันออกกลาง ช่วยนำเทคโนโลยีของ OpenAI มาปรับใช้และพัฒนาให้เหมาะกับบริบทของภูมิภาค
ดังนั้นระหว่าง OpenAI และ G42 จึงเป็นการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ที่ทำให้ OpenAI ได้ขยายตลาดในตะวันออกกลาง ขณะที่ G42 ได้เข้าถึงเทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยที่สุดในโลก เพื่อร่วมกันสร้างอนาคตที่ AI เป็นส่วนสำคัญของสังคม
ขณะที่หลายคนยังมอง AI เป็นเรื่องนามธรรม เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูล เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญขององค์กร ใน session นี้ Peng Xiao ซีอีโอของกลุ่ม G42 กลับเล่าเรื่องราวรอบตัวในชีวิตจริงที่สะท้อนให้เห็นว่า AI เข้ามาใกล้ตัวเราแค่ไหน
เขายกตัวอย่างเรื่องราวของประธานบริษัทที่ออกแบบบ้านสไตล์ญี่ปุ่นทั้งหลังในอาบูดาบีด้วยตัวเอง โดยใช้ ChatGPT ผ่านการ prompt 500 ครั้ง ทำให้บ้านสร้างเสร็จภายในเวลาไม่ถึงปี กล่าวคือ งานที่เคยต้องใช้สถาปนิกมืออาชีพและใช้เวลานานหลายเดือน กลายเป็นโปรเจกต์ที่คนทั่วไปก็ทำได้ด้วยตัวเองได้
นอกจากนี้เขายังพูดถึงเรื่องราวที่ใกล้ตัวกว่านั้นคือเมื่อเครื่องล้างจานของภรรยา ที่เกิดฟองล้น เธอเพียงถ่ายรูปและถาม ChatGPT ก็ได้รับคำแนะนำทีละขั้นตอนจนแก้ปัญหาได้สำเร็จ ไม่ต้องโทรหาช่าง ไม่ต้องรอนัดหมาย แค่ถ่ายรูป ถามคำถาม และทำตามขั้นตอน
"มันใกล้ตัวมาก ไม่ใช่แค่เรื่องงานหรือธุรกิจอีกต่อไป แต่เป็นไลฟ์สไตล์ใหม่ คุณเลือกที่จะยอมรับมัน หรือจะเป็นแค่ผู้ใช้ธรรมดาที่ไม่มีส่วนร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งสำคัญนี้" Peng Xiao กล่าว
แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ที่ Peng Xiao นำมาแบ่งปันบนเวทีนั้น สื่อให้เห็นว่า AI ไม่ได้อยู่บนคลาวด์หรือในห้องแล็บวิจัยอีกต่อไป แต่มันอยู่ในบ้านของเรา ในชีวิตประจำวันของเรา และกำลังเปลี่ยนวิธีที่เราแก้ปัญหา สร้างสรรค์ และดำเนินชีวิต
สำหรับประเทศอย่าง UAE การนำ AI มาใช้ไม่ใช่แค่โครงการเทคโนโลยีธรรมดา แต่เป็นเรื่องสำคัญระดับชาติ Peng Xiao อธิบายว่าเป้าหมายคือการเป็น "AI Native" หมายความว่า สังคมที่มี AI เป็นส่วนสำคัญในทุกด้าน ทั้งรัฐบาล การศึกษา และโครงสร้างพื้นฐาน
1) ภาวะผู้นำทางการเมืองที่เข้มแข็ง
AI ต้องเป็น "1 ใน 3 อันดับแรก หรืออาจเป็นอันดับหนึ่ง" ในวาระของรัฐบาล ขับเคลื่อนด้วยความมุ่งมั่นจากผู้นำระดับสูงสุด การสนับสนุนจากระดับท็อปดาวน์นี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
2) การศึกษาทั่วทั้งสังคม
UAE กำลังเปิดตัว "โปรแกรม 7 to 70" มีเป้าหมายทะเยอทะยานในการให้ความรู้ทุกคน ตั้งแต่เด็กอายุ 7 ขวบจนถึงผู้สูงอายุ 70 ปี การศึกษาแบบครอบคลุมทุกช่วงวัยนี้เป็นการสร้างรากฐานให้สังคมทั้งหมดเข้าใจและใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3) โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
โครงการ "Stargate UAE" ซึ่งเป็นความร่วมมือกับ OpenAI ถูกออกแบบมาเพื่อสร้างความสามารถ AI ระดับชาติที่จำเป็นสำหรับการขับเคลื่อนประเทศทั้งประเทศ แน่นอนว่านี่ไม่ใช่แค่การลงทุนในเทคโนโลยี แต่เป็นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่จะรองรับการเติบโตในอนาคต
4) ความร่วมมือระดับโลก
ขนาดของการเปลี่ยนแปลง AI ใหญ่เกินกว่าที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งจะรับมือได้ Peng Xiao เน้นย้ำว่า "ไม่มีประเทศ บริษัท หรือบุคคลใดทำคนเดียวได้" ดังนั้นความร่วมมือระหว่างประเทศและข้ามองค์กรเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างอนาคตที่ขับเคลื่อนด้วย AI
Sam Altman มองว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI ไม่ใช่การแข่งขัน แต่เป็นการร่วมมือกัน เขาอธิบายว่าเป็น "ระบบที่วิวัฒนาการร่วมกัน" (co-evolving system) ซึ่งหมายถึงว่าเมื่อ เทคโนโลยีก้าวหน้า สังคมก็ปรับตัวตาม แล้วเทคโนโลยีก็พัฒนาต่อ สังคมก็ปรับตัวต่อ เป็นวงจรที่หมุนเวียนต่อเนื่อง
Sam Altman กล่าวว่า "ประสบการณ์ของผมบอกว่ามันเป็นระบบที่วิวัฒนาการร่วมกัน เทคโนโลยีก้าวไปอีกนิด สังคมเปลี่ยน เทคโนโลยีเปลี่ยน สังคมเปลี่ยนมากขึ้น มันเป็นการโต้ตอบกันไปมา... ผมคิดว่านี่มันเสถียรกว่าและดีกว่าสำหรับทุกคนมาก"
แนวคิดนี้ตรงกันข้ามกับความกลัวที่หลายคนมีว่า AI จะมาแทนที่มนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น Sam Altman มองว่ามนุษย์และ AI กำลังวิวัฒนาการไปพร้อมกัน และเราปรับตัวกับเทคโนโลยีใหม่ และเทคโนโลยีก็ถูกพัฒนาต่อยอดจากการใช้งานจริงของเรา สร้างวงจรที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายเติบโตไปด้วยกัน
ในการสนทนาที่เกิดขึ้น Sam Altman ได้ตั้งคำถามที่น่าคิดอย่างหนึ่งว่า ถ้าเราย้อนเวลากลับไปปี 2020 และแสดงให้คนเห็นว่าระบบ AI ในปี 2025 ทำอะไรได้บ้าง "มันจะดูบ้าบอมาก" ทุกคนคงคิดว่าการก้าวกระโดดขนาดนี้จะทำให้โลก "วุ่นวายมาก"
แต่เราไปถึงตรงนั้นเรียบร้อยแล้ว ระบบที่ทรงพลังเหล่านั้นมีอยู่จริง และโลกก็ "ดำเนินต่อไป" การปรับตัวอย่างเงียบๆ นี้เป็นหนึ่งในแง่มุมที่สำคัญที่สุดแต่ถูกมองข้ามของการปฏิวัติ AI สิ่งที่ดูเหมือนนิยายวิทยาศาสตร์เมื่อไม่กี่ปีก่อน กำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว
Sam Altman กล่าวว่า "เรามี AI ที่ฉลาดมากแล้วตอนนี้ และเราทุกคนก็คุ้นเคยกับมันแล้ว"
ซึ่ง เขาชี้ให้เห็นว่าความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์นั้นเจ๋งกว่าที่เราคิด เรายอมรับเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้เร็วมาก และสิ่งที่เคยดูเหลือเชื่อ ก็กลายเป็นเรื่องปกติไปอย่างรวดเร็ว นี่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์กับ AI อยู่ร่วมกันได้ และกำลังทำอยู่แล้ว
ขณะที่หลายคนกังวลเรื่อง AI ที่อาจฉลาดเกินควบคุม ในประเด็นนี้ทั้ง Sam Altman และ Peng Xiao ชี้ไปที่ความท้าทายที่สำคัญกว่า นั่นคือ ความล้มเหลวของความทะเยอทะยาน หรือพูดง่ายๆว่า เราไม่กล้าคิดให้ใหญ่พอ
พวกเขาอธิบายว่าต้นทุนของ AI จะลดลงจนเกือบเท่ากับต้นทุนพลังงาน ทำให้พลังงานที่มีมากพอและราคาถูกกลายเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับการให้คนทั่วโลกใช้ AI ได้
ในมุมมองใหม่นี้ ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เทคโนโลยีซึ่งกำลังพัฒนาไปเร็วมาก แต่เป็นที่เราไม่กล้าคิดใหญ่และไม่กล้าลงมือทำเพื่อสร้างพลังงานและโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นให้ AI ทำงานได้เต็มที่
Peng Xiao กล่าวว่า "ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวันนี้คือความล้มเหลวของความทะเยอทะยาน เราต้องคิดให้ใหญ่กว่านี้ เราต้องคิดด้วยกระบวนทัศน์ใหม่ นี่ไม่ใช่แค่ขั้นตอนวิวัฒนาการอีกอย่างหนึ่ง มันต้องการ การเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด เราต้องยอมรับมัน"
ดังนั้นปัญหาไม่ใช่ว่าเราจะทำอะไรไม่ได้ แต่เป็นว่าเรากล้าคิดใหญ่พอหรือไม่ เรากล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน กล้าเปลี่ยนแปลงกรอบความคิด และกล้าเปิดรับอนาคตที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงหรือไม่
โดยสรุปแล้วการสนทนาระหว่าง Sam Altman และ Peng Xiao ในงาน Gitex Global 2025 ไม่ได้เป็นแค่การพูดคุยเกี่ยวกับเทคโนโลยี แต่เป็นการส่งข้อความที่ชัดเจน AI ไม่ใช่อนาคตอีกต่อไป มันคือปัจจุบัน และเราอยู่ในจุดที่ต้องเลือกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนี้ หรือจะมองมันผ่านไปเป็นเรื่องของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นในระดับบุคคล องค์กร หรือประเทศ ความทะเยอทะยาน การศึกษา และการกล้าคิดใหญ่ คือสิ่งที่จะกำหนดว่าเราจะก้าวไปข้างหน้าได้แค่ไหนในยุค AI Native