
จากบริษัทซอฟต์แวร์ธรรมดา สู่ผู้ถือครอง Bitcoin มากที่สุดในโลก การเดิมพันครั้งใหญ่ที่ทำให้ทั้งวงการการเงินและคริปโตฯ ต้องจับตามอง รายการ Digital Frontiers ทางช่อง YouTube: Thairath Money หยิบยกกรณีศึกษาของ MicroStrategy (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Strategy เมื่อกุมภาพันธ์ 2025) บริษัทที่กล้าท้าทายกระแสหลักด้วยการทุ่มเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปกับสินทรัพย์ดิจิทัลที่หลายคนยังหวาดระแวง แต่นี่คือกลยุทธ์อัจฉริยะที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการธุรกิจ หรือเป็นเพียงการเดิมพันที่อาจลงเอยด้วยหายนะทางการเงินครั้งใหญ่กันแน่?
MicroStrategy ก่อตั้งในปี 1989 โดยไมเคิล เซย์เลอร์ พร้อมเพื่อนอีกสองคน ซานจู บันซาล และโทมัส สพาห์ร์ บริษัทดำเนินธุรกิจด้านซอฟต์แวร์วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ หรือที่เรียกว่า Business Intelligence ช่วยให้องค์กรสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ
ผลิตภัณฑ์หลักคือแพลตฟอร์ม "Strategy One" ที่ช่วยสร้างแดชบอร์ด รายงาน และวิเคราะห์ข้อมูล โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นองค์กรใหญ่และหน่วยงานรัฐบาลในหลายอุตสาหกรรม แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจนี้เริ่มเผชิญความท้าทาย เนื่องจากมีคู่แข่งระดับ Microsoft ที่มีผลิตภัณฑ์คล้ายกันในราคาที่แข่งขันได้
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในช่วงกลางปี 2020 ท่ามกลางวิกฤตโควิด-19 ที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าระบบมหาศาล ไมเคิล เซย์เลอร์ ซีอีโอในขณะนั้น กังวลว่าเงินสดที่บริษัทเก็บไว้จะมีมูลค่าลดลงเรื่อยๆ จากภาวะเงินเฟ้อ เขามองว่าเงินสดเป็นเหมือน "ก้อนน้ำแข็งที่กำลังละลาย" จึงมองหาวิธีเก็บรักษามูลค่าที่ดีกว่า
หลังจากศึกษาอย่างลึกซึ้ง เซย์เลอร์หักมุมจากคนที่เคยวิจารณ์ Bitcoin ในปี 2013 มาสู่การเป็นผู้สนับสนุนตัวยง และวันที่ 11 สิงหาคม 2020 MicroStrategy ประกาศซื้อ Bitcoin ครั้งแรกจำนวน 21,454 BTC มูลค่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยใช้เงินสดสำรองของบริษัท สร้างความตกตะลึงในวงการธุรกิจ
หลังจากนั้น บริษัทเดินหน้าซื้อ Bitcoin เพิ่มอย่างต่อเนื่อง จนเปลี่ยนโฉมจากผู้ให้บริการซอฟต์แวร์ธรรมดา สู่ผู้เล่นรายใหญ่ในวงการคริปโต
ข้อมูลล่าสุด ณ เมษายน 2025 MicroStrategy ถือครอง Bitcoin มากถึง 538,200 BTC คิดเป็นกว่า 2.5% ของ Bitcoin ทั้งหมดที่มีอยู่ 21 ล้านเหรียญ โดยราคาที่ซื้อเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 67,766ดอลลาร์ต่อเหรียญ รวมเป็นเงินลงทุนกว่า 36,462 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ที่น่าสนใจคือ หุ้นของ MicroStrategy มีมูลค่าตลาดสูงกว่ามูลค่า Bitcoin ที่ถืออยู่เกือบ 2 เท่า สะท้อนว่านักลงทุนให้ "ค่าพรีเมียม" กับบริษัทนี้ ไม่ใช่แค่เพราะถือ Bitcoin จำนวนมาก แต่เพราะเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ว่าบริษัทจะเดินหน้าสะสมเพิ่มได้อีก
ปัจจุบัน ตลาดแทบไม่ได้มอง MicroStrategy ว่าเป็นบริษัทซอฟต์แวร์อีกต่อไป แต่มองเป็นตัวแทนการลงทุนใน Bitcoin ที่มีการบริหารจัดการเชิงรุกและใช้เลเวอเรจ (คือการลงทุนด้วยเงินที่กู้ยืมมา) เพื่อเร่งสะสมสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างจริงจัง
1. วิสัยทัศน์สุดโต่งของ CEO
เซย์เลอร์มองเห็นปัญหาจากการพิมพ์เงินมหาศาลในช่วงโควิด และตระหนักว่าเงินกำลังสูญเสียมูลค่าทุกวัน ในขณะที่เขาเห็น Bitcoin ต่างจากคนอื่น ไม่ใช่แค่สินทรัพย์เก็งกำไร แต่เป็น "ทองคำดิจิทัล" ที่เหนือกว่าทองคำแบบดั้งเดิม
หลังจากศึกษาประวัติศาสตร์การเงินย้อนหลังหลายพันปี เซย์เลอร์เชื่อมั่นว่า Bitcoin มีคุณสมบัติที่ดีกว่าทองคำในหลายด้าน ทั้งการเคลื่อนย้าย การแบ่งย่อย และการตรวจสอบความขาดแคลนได้ทางคณิตศาสตร์
จากคนที่เคยไม่เชื่อมั่น เซย์เลอร์กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญที่สามารถอธิบายทฤษฎีและเทคโนโลยีเบื้องหลัง Bitcoin ได้อย่างละเอียด จนได้รับฉายา "Bitcoin Apologist" (นักศึกษา Bitcoin) เขาไม่เพียงเข้าใจคุณค่าในฐานะเครื่องมือต่อต้านเงินเฟ้อ แต่ยังเชื่อว่านี่คืออนาคตของระบบการเงินโลก
2. สูตรการระดมทุนสุดฉลาด
MicroStrategy ไม่ได้ใช้เพียงเงินจากธุรกิจซอฟต์แวร์ในการซื้อ Bitcoin แต่ใช้กลยุทธ์ทางการเงินที่ซับซ้อนเพื่อระดมทุนต่อเนื่อง ประกอบด้วย:
กลยุทธ์เหล่านี้ทำให้ MicroStrategy สามารถระดมทุนได้อย่างต่อเนื่อง และสร้างวงจรที่เสริมกันเอง: Bitcoin ราคาขึ้น → หุ้น MSTR พุ่ง → ขายหุ้นได้เงินมาก → ซื้อ Bitcoin เพิ่ม → Bitcoin ราคาขึ้นอีก
ล่าสุด บริษัทยังประกาศแผนระดมทุนอีก 42,000 ล้านดอลลาร์ในช่วง 2025-2027 เพื่อซื้อ Bitcoin เพิ่ม MicroStrategy เป็นบริษัทแรกที่ใช้วิธีการแบบนี้ และต่อมามีบริษัทอื่นๆ นำไปเป็นแบบอย่าง
3. ศรัทธาระยะยาวในวันที่ทุกคนหวาดกลัว
สิ่งที่ทำให้ MicroStrategy โดดเด่นคือความมุ่งมั่นไม่เปลี่ยนแปลงแม้ในช่วงวิกฤต เมื่อราคา Bitcoin ดิ่งลงอย่างหนักในปี 2022 บริษัทอื่นๆ รวมถึง Tesla ชะลอหรือหยุดการซื้อ บางแห่งถึงกับขายทิ้ง แต่ MicroStrategy กลับเดินหน้าซื้อเพิ่ม
ในช่วงนั้น บริษัทต้องบันทึกผลขาดทุนทางบัญชีมหาศาลถึงพันล้านดอลลาร์ แต่ไมเคิล เซย์เลอร์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า "เราซื้อเพื่อถือระยะยาว 10 ปี ไม่ใช่ 10 เดือน" และปฏิเสธการขายแม้แต่เหรียญเดียว
ด้วยกลยุทธ์ "กล้าเมื่อคนอื่นกลัว" นี้ทำให้ MicroStrategy ได้ Bitcoin ราคาต่ำจำนวนมาก และสร้างต้นทุนเฉลี่ยที่ดีในระยะยาว แต่ความสำเร็จของบริษัทจึงขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้นของราคา Bitcoin ในระยะยาว และความสามารถในการเข้าถึงตลาดทุนด้วยเงื่อนไขที่ดี
MicroStrategy ใช้ Bitcoin เป็นสินทรัพย์สำรองหลัก ทำให้ผลประกอบการของบริษัทผันผวนตามราคา Bitcoin อย่างมาก เพราะกฎบัญชีเดิมบังคับให้บันทึกขาดทุนเมื่อราคา Bitcoin ตกลง แต่ไม่สามารถบันทึกกำไรเมื่อราคาขึ้นได้
ในปี 2022 บริษัทขาดทุนสุทธิถึงเกือบ 1,500 ล้านดอลลาร์ และในไตรมาส 3 ปี 2024 ขาดทุนจากการด้อยค่า 412.1 ล้านดอลลาร์ ในปี 2025 ได้มีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานบัญชีใหม่ที่ทำให้สามารถวัดมูลค่าคริปโตตามราคาตลาดได้ ทำให้บริษัทมีความยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ก็นำมาซึ่งการผันผวนของกำไรและขาดทุนตามราคา Bitcoin
ธุรกิจซอฟต์แวร์ดั้งเดิมแม้ว่ายังคงสร้างกำไรขั้นต้นสูงที่ราว 70-72% แต่กำไรจากการดำเนินงานกลับแทบไม่มี
กลยุทธ์ของ MicroStrategy ไม่ได้ปราศจากความเสี่ยง เพราะธุรกิจแบบนี้เต็มไปด้วย:
อย่างไรก็ตามหากมองในแง่ดี หาก Bitcoin พุ่งสูงตามที่เซย์เลอร์คาดหวัง MicroStrategy อาจกลายเป็นบริษัทมูลค่าแสนล้านดอลลาร์ในอนาคต แต่หากราคา Bitcoin ดิ่งลงอย่างรุนแรงและยาวนาน บริษัทอาจเผชิญวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่
MicroStrategy ถือเป็นอีกหนึ่งกรณีศึกษาที่น่าสนใจของการปรับตัวและการหาทางเลือกใหม่ให้กับธุรกิจ นักลงทุนควรทำความเข้าใจความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะในโลกธุรกิจยุคเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะบางกลยุทธ์อาจเป็นแค่ Money Game ของใครบางคนเท่านั้น