
เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการประชุม คณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อพัฒนาประเทศไทย (National AI Committee) ครั้งที่ 1/2568 โดยมีมติเห็นชอบกรอบการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ระยะ 2 ปี ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็นผู้เล่นหลักด้าน AI และมีระบบนิเวศที่ดีที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมสร้างการเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจของประเทศ
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการฯ กล่าวว่า คณะกรรมการฯ ได้กำหนดแนวทางในการเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนากำลังคนด้าน AI ทั้ง AI User ไม่ว่าจะเป็นบุคลากรในสาย IT และ Non IT รวมไม่น้อยกว่า 1 แสนคน โดยตั้งเป้าหมายที่จะต้องมีการสร้างความรู้ให้แก่บุคลากรที่เป็น AI User ไม่น้อยกว่า 10,000,000 คน AI Professional ไม่น้อยกว่า 90,000 คน และ AI Developer ทั้งวิศวกรและนักวิจัย ไม่น้อยกว่า 50,000 คน ภายในเวลา 2 ปี
นอกจากนี้จะมีการส่งเสริมการลงทุนเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบคลาวด์ Data Center ระบบประมวลผล GPU และการพัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์เปิด ทั้ง Open-source และ National LLM เพื่อให้คนสามารถเข้าถึง AI ได้มากยิ่งขึ้น
รวมถึงการสร้างคลังข้อมูลกลาง (National Data Bank) ที่จะรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา AI ในสาขาต่าง ๆ ในส่วนข้อมูลภาครัฐ จะส่งเสริมให้หน่วยงานของรัฐปรับตัวให้เป็นระบบดิจิทัลทั้งหมดภายในปี 2569 โดยคาดว่าการลงทุนด้านโครงสร้างเหล่านี้จะมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 500,000 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนของรัฐบาลและภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศประกอบกัน
สำหรับ การส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ในงานธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้น จะมุ่งเน้นสาขาที่สนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจและการพัฒนาสังคมเป็นหลัก เช่น การสาธารณสุข การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม เป็นต้น ซึ่งการประยุกต์ใช้ AI จะส่งผลให้การแพทย์ของไทยมีประสิทธิภาพและยกระดับขึ้นเป็นศูนย์กลางของการรักษาพยาบาลในอาเซียนได้
พร้อมกับยกระดับการท่องเที่ยวทั้งในด้านจำนวนนักท่องเที่ยวและการใช้จ่าย อีกทั้งการใช้ AI ด้านการเกษตรจะทำให้การเพาะปลูกเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สร้างผลผลิตที่สูงขึ้น และสามารถทำงานด้านการพาณิชย์และตลาดอย่างตรงเป้าอีกด้วย ซึ่งคาดว่าการสนับสนุนการประยุกต์ใช้ AI ในด้านต่าง ๆ จะส่งผลดีต่อบริการสาธารณสุข อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเกษตรกรไทยเป็นอย่างมาก
ขณะเดียวกันด้าน ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ในฐานะกรรมการ ได้เปิดเผยเช่นเดียวกันว่า depa พร้อมสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ พร้อมเสนอความเห็นต่อที่ประชุมว่า ประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการลงทุนในดิจิทัลสตาร์ทอัพ โดยเน้นในกลุ่มที่พัฒนาให้เกิด AI as a Service
นอกจากนี้ depa มีแผนที่จะบูรณาการการทำงานกับภาคเอกชนอย่าง Meta Facebook และ Oracle ในการสร้างกำลังคน AI ควบคู่ไปกับการมอบสิทธิประโยชน์ด้านภาษีเพื่อส่งเสริมการจ้างงานและการพัฒนาทักษะสำหรับองค์กรธุรกิจที่ส่งพนักงานฝึกอบรมในหลักสูตรดิจิทัลที่ depa และเครือข่ายพันธมิตรให้การรับรอง
โดยสามารถนำค่าใช้จ่ายมาลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลได้ 250% นอกจากนี้ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคล 150% ของเงินเดือน 12 เดือนแรกของผู้จบการศึกษาด้านดิจิทัล สำหรับประชาชนทั่วไป depa จะช่วยแบ่งเบาภาระภาษี โดยประชาชนสามารถนำใบเสร็จค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียนในหลักสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับดิจิทัลมาหักค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2568 ได้ 100%
ทั้งนี้เพื่อเร่งการประยุกต์ใช้ AI รัฐบาลจะสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์แห่งความเป็นเลิศเพื่อบูรณาการการทำงานด้าน AI ในแต่ละสาขาร่วมกับภาคเอกชนอย่างเป็นระบบต่อไป
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ -