
ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนเร็วและแข่งขันดุเดือด เทคโนโลยีกลายเป็นกระแสหลักของการเติบโต และในเวที AWS Summit Thailand 2025 ปีนี้ Amazon Web Services (AWS) ได้ประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนที่จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง “Build Anything You Imagine” สร้างทุกอย่างที่จินตนาการได้สำหรับธุรกิจในประเทศไทย ด้วยการวางรากฐานด้าน Cloud, AI และ Data ที่พร้อมให้บริการระดับโลกจากใจกลางประเทศ
หลังจากที่เมื่อต้นปี 2025 ที่ผ่านมา AWS ได้ประกาศเปิดตัว “AWS Asia Pacific (Thailand) Region” ในประเทศไทย พร้อมกับเตรียมดึงฐานลูกค้าธุรกิจไทย ไม่ต้องฝากข้อมูลไว้กับเซิร์ฟเวอร์ในสิงคโปร์แล้ว
วัตสัน ถิรภัทรพงศ์ Country Manager ของ AWS Thailand กล่าวว่า “AWS เตรียมพร้อมที่จะลงทุนใน AWS Asia Pacific (Thailand) Region อีกกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วง 15 ปี เพื่อวางระบบ Cloud Infrastructure ระดับโลกไว้ในประเทศไทย”
ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มความเร็วในการใช้งานระบบ และรองรับ Data Residency ตามข้อกำหนดในประเทศแล้ว ยังคาดว่าจะสร้างงานได้กว่า 11,000 ตำแหน่งต่อปี และเพิ่มมูลค่า GDP ประเทศกว่า 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีอีกด้วย
ในช่วงงาน AWS Summit 2025 รอบนี้ ก็ได้ประกาศยกระดับ จะไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการ Cloud ทั่วไป แต่จะเป็น “ตัวต่อแห่งอนาคต” ที่ออกแบบมาสำหรับนักพัฒนา นักวิเคราะห์ และธุรกิจที่ต้องการนวัตกรรมใหม่แบบเร็วและคุ้มค่า
โดยมีบริการหลัก ได้แก่:
Laura Grit รองประธาน วิศวกรผู้ทรงคุณวุฒิจาก AWS เน้นย้ำว่า AI จะไม่ใช่เพียงผู้ช่วยตอบคำถามอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น “ผู้ลงมือทำ” ผ่านระบบ AI Agents และเครื่องมืออย่าง Amazon Q Developer ที่สามารถเขียนโค้ด ตรวจบั๊ก สร้างเอกสาร และทดสอบแอปพลิเคชันได้อัตโนมัติ
และเพื่อป้องกันปัญหา AI Hallucination หรือคำตอบเพ้อเจ้อจาก AI ทาง AWS ยังได้เปิดตัว Bedrock Guardrails พร้อมระบบ Automated Reasoning ที่ช่วยตรวจสอบความถูกต้องของคำตอบ AI แบบลอจิก เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับองค์กรในการใช้งานจริง
ยอด ชินสุภัคกุล CEO ของ Lineman-Wongnai เล่าว่า บริษัทเริ่มใช้ AWS มาตั้งแต่ปี 2013 ตั้งแต่ยังเป็นสตาร์ทอัพขนาดเล็ก ด้วยเหตุผลหลักคือ ต้องการจะประหยัดต้นทุนในการบริหารจัดการ บวกกับ AWS สามารถส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานได้เลยทันที และต้องการความคล่องตัวในการขยายบริการแบบเร็วที่สุด
วันนี้ Lineman-Wongnai เติบโตเป็น Ecosystem ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้กว่า 10 ล้านคน มีร้านอาหารนับแสน และระบบ POS ที่ควบรวมกับ FoodStory ทั้งบนระบบ Android และ iPad โดยใช้ AWS เป็นหลังบ้านในการรวมระบบ ลดต้นทุน และบริหารทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ เบื้องหลังของระบบเดลิเวอรี่ของ Lineman คือการใช้ AI ประมวลผลการจ่ายงานแบบเรียลไทม์ โดยใช้รูปแบบ Simulation จำลองการทำงานจำนวนมากผ่าน Cloud เพื่อคาดการณ์เวลาส่งอาหาร เลือกไรเดอร์ที่เหมาะสมที่สุด และจัดสรรงานตามพฤติกรรมและสภาพแวดล้อม เพื่อเกิดราคาที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับลูกค้าผู้ใช้งาน
และผลงานที่สำคัญที่สุด คือในช่วงโครงการคนละครึ่ง ในช่วงที่เกิดการระบาดของโควิด-19 ทาง Lineman-Wongnai ได้ใช้ AWS ขยายระบบรองรับโครงการดังกล่าว พร้อมกับรับร้านอาหารใหม่จำนวนมหาศาลภายในเวลาเพียง 28 วัน โดยไม่เกิดการล่มของระบบแม้ในวันที่มีปริมาณการใช้งานสูงที่สุด
สรรเสริญ สมัยสุต CTO ของ CP Group และ Managing Director ของ AXONS เล่าว่า ขณะนี้ CP อยู่ในช่วงเร่งทรานส์ฟอร์มระบบไอทีขององค์กรครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการย้ายระบบ Legacy ขนาดใหญ่ ขึ้นสู่ AWS Cloud เพื่อเสริมความคล่องตัว ลดค่าใช้จ่าย และเปิดทางสู่การขยายบริการในอนาคต
แต่หนึ่งในความท้าทายใหญ่ขององค์กรขนาดใหญ่คือ ระบบ Mainframe ที่ใช้มานานหลายสิบปี ซึ่งยากต่อการเปลี่ยนแปลงเพราะมีข้อมูลจำนวนมาก โครงสร้างซับซ้อน และความเสี่ยงสูง
การย้ายระบบผ่าน AWS ทำให้บริษัทสามารถลดต้นทุนการดูแลเซิร์ฟเวอร์ และยืดหยุ่นตามแผนธุรกิจใหม่ โดยที่แผนของ CP ไม่ได้หยุดแค่การย้ายระบบเก่าเท่านั้น แต่ต้องการ “สร้างฐานใหม่” เพื่อรองรับการเติบโตของบริการดิจิทัลหลายด้าน เช่น
แอปพลิเคชันกระเป๋าเงินดิจิทัล (CP Wallet) ที่มียอดดาวน์โหลดสูงกว่า 10 ล้านครั้ง
ระบบ E-Commerce ที่ขยายการเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศ
โครงข่ายโลจิสติกส์แบบเรียลไทม์ ที่ต้องมีระบบหลังบ้านที่ยืดหยุ่นและสเกลได้ตามความต้องการ
สรรเสริญ กล่าวต่อว่า AWS จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรองรับระบบที่ต้องรองรับ “ภาระงานระดับมหาศาล” แบบไม่ล่ม พร้อมทั้งสามารถขยายบริการไปยัง Region อื่นในเอเชียได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหากต้องการ
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney