
ปัจจุบันการลงทุนไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่หุ้น กองทุน หรืออสังหาริมทรัพย์เท่านั้น แต่กำลังขยายออกไปสู่สินทรัพย์ดิจิทัลอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ “คริปโตเคอร์เรนซี” ที่เติบโตทั้งในแง่ของมูลค่าและการยอมรับในระดับโลก
Thairath Money Roadshow 2025 ครั้งนี้พาไปบุกหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา พร้อมเปิดเวทีดึง กันตณัฐ วุฒิธร หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์สินทรัพย์ดิจิทัล Bitkub Labs ขึ้นบรรยายในประเด็น “ทำความรู้จักกับบิตคอยน์และ 3 เทคนิคสำคัญของการลงทุน” พาไปเจาะลึกทริกการลงทุนในยุคใหม่ที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริงกับทุกรูปแบบของการลงทุน ไม่จำกัดเฉพาะคริปโต แต่รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ ด้วยเช่นกัน พร้อมกับพาไปรู้จักกับสินทรัพย์ดิจิทัลยอดนิยมอย่าง “บิตคอยน์” ที่กำลังก้าวขึ้นมามีบทบาทในระบบการเงินใหม่
กันตณัฐ กล่าวบนเวทีเสวนาแนะนำ 3 หลักคิดสำคัญ ถ่ายทอดความรู้ในฐานะนักลงทุนสายสถิติและวิเคราะห์ข้อมูล โดยมีจุดมุ่งหมายชัดเจนว่า การลงทุนควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล ไม่ใช่อารมณ์ หรือข่าวสารเพียงผิวเผิน
ประเด็นแรกที่ยกมาคือคำถามสำคัญที่นักลงทุนทุกคนต้องตอบให้ได้ นั่นคือ “โชค กับ ความสามารถอะไรส่งผลต่อผลลัพธ์การลงทุนมากกว่ากัน?” ผ่านการจำลองสถานการณ์ผ่านตัวอย่าง Persona ตั้งค่าระดับความสามารถของนักลงทุน 3 ราย ซึ่งมี Profit Factor หรือมีความสามารถในการทำกำไรที่ต่างกันอย่างชัดเจน แล้วให้ทั้งสามคนลองเทรดในระยะสั้นจำนวน 10 ครั้ง
ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าประหลาดใจ คนที่มีความสามารถในการทำกำไรเก่งที่สุดกลับขาดทุนมากที่สุด ส่วนผู้มีความสามารถต่ำสุดกลับทำกำไรสูงสุด ทั้งหมดนี้อาจสะท้อนได้ว่าในการลงทุนระยะสั้น ปัจจัยด้าน “โชค” อาจมีผลมากกว่าที่หลายคนคาดคิด
แต่เมื่อจำลองจำนวนรอบการลงทุนให้มากขึ้นถึง 10,000 ครั้ง ผลลัพธ์ก็กลับออกมาอีกแบบ เพราะทุกอย่างเป็นไปตามกฎธรรมชาติ พบว่านักลงทุนที่มีทักษะสูงสุดกลับทำกำไรได้ดีที่สุดอย่างสม่ำเสมอ ตอกย้ำข้อเท็จจริงว่า “ในระยะยาว ความสามารถคือสิ่งที่กำหนดผลลัพธ์ที่แท้จริง หากมีระเบียบวินัยมากพอและทำซ้ำ ๆ” กันตณัฐ กล่าว
เทคนิคที่สองเน้นที่หัวใจของการอยู่รอดในสนามลงทุน นั่นคือ “การบริหารความเสี่ยง” โดยยกตัวอย่างว่า แม้ผู้ลงทุนจะไม่มีความรู้ด้านการวิเคราะห์ตลาดเลย หากสามารถกำหนด “ขนาดการขาดทุนต่อครั้ง” ให้ชัดเจน เช่น ไม่เกิน 10% ของพอร์ตต่อการลงทุนหนึ่งครั้ง โอกาสที่พอร์ตจะขาดทุนจนหมดนั้นมีเพียง 0.0976% เท่านั้น
กันตณัฐ อธิบายว่า “สมมติว่าคุณไม่รู้เรื่องการลงทุนเลย แต่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่ขาดทุนจะต้องไม่เกิน 10% ต่อรอบ โอกาสที่พอร์ตจะแตกต้องแพ้ติดกัน 10 ครั้ง ซึ่งมีโอกาสแค่ 0.0976% เท่านั้น และถ้าลดขนาดความเสี่ยงลงเหลือ 5% ต่อรอบ ต้องแพ้ติดกัน 20 ครั้ง โอกาสก็จะเหลือเพียง 0.00953% เรียกได้ว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้น แม้ไม่เก่งเรื่องเทคนิคการลงทุน แต่รู้จักบริหารความเสี่ยง โอกาสรอดก็มีสูงเช่นกัน”
ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การลงทุนที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับการเลือกสินทรัพย์ที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “การจัดการความเสียหาย” เมื่อตลาดไม่เป็นไปตามคาดอีกด้วย
ในยุคที่สื่อโซเชียลเต็มไปด้วยวิดีโอ คอนเทนต์ ข้อความจูงใจในการลงทุน เช่น “กำไร 1000% ภายในเดือนเดียว” หรือ “แค่กดซื้อก็รวย” พร้อมกับเกิดคำถามตามมาว่า “จะเกิดขึ้นได้จริงไหม?” “เป็นไปได้จริงหรือไม่?”
กันตณัฐ เตือนพร้อมกับยกตัวอย่างว่า นักลงทุนระดับโลกอย่าง Warren Buffett หรือ Ray Dalio ทำกำไรเฉลี่ยเพียง 10-15% ต่อปี หรือเดือนละแค่ 1% เท่านั้น คำถามสำคัญอีกอย่างคือ ถ้าทำ 1000% ได้จริง ทำไมพวกเขาไม่ทำ? คำตอบคือ เพราะมันไม่ง่ายและไม่เป็นจริงเสมอไป
โฆษณาเหล่านี้มักเป็นการชวนเชื่อ ไม่ได้สะท้อนความจริง หากแต่เป็น “เครื่องมือการตลาด” ที่มุ่งหวังให้ผู้คนหลงเชื่อในผลตอบแทนเกินจริง และนำไปสู่ความเสี่ยงเกินควบคุม
ในช่วงท้าย กันตณัฐ ได้เล่าถึงต้นกำเนิดของ “บิตคอยน์” ที่ย้อนกลับไปในปี 2009 ถูกสร้างขึ้นมาโดย Satoshi Nakamoto โดยที่บิตคอยน์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นสินทรัพย์เพื่อการลงทุน แต่เป็นระบบการเงินทางเลือกที่ไม่มีตัวกลาง ไม่มีใครควบคุม ถูกออกแบบมาแก้ 2 ปัญหาหลักของระบบการเงินโลก ได้แก่
ในขณะที่การทำธุรกรรมบน “บล็อกเชน” (Blockchain) ที่เปรียบเหมือนหมู่บ้านที่ทุกคนมีสมุดบัญชีของตัวเอง และทุกครั้งที่มีการโอนเงิน ทุกคนจะบันทึกธุรกรรมนั้นไว้ในบัญชีของตัวเอง ไม่มีตัวกลาง ไม่มีใครสามารถแก้ไขข้อมูลย้อนหลังได้
และยังสามารถตรวจสอบได้ เพราะทุกคนจะมีการทำสำเนาการบันทึกธุรกรรมที่ไม่สามารถแก้ไขได้ขึ้นมา จึงเห็นว่าเหมาะสมที่จะนำคอนเซ็ปต์นี้มาใช้ในระบบการเงิน ที่เอาอำนาจออกจากตัวกลาง
ในส่วนของบิตคอยน์ ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดใหญ่อันดับ 6 ของโลก โดยมูลค่ารวมของตลาดคริปโตฯ มีมากกว่ามูลค่ารวมของบริษัทไทย 10 อันดับแรกถึง 20 เท่า และในทุกวันนี้ไม่ได้มีแค่รายย่อยเท่านั้นที่ถือสินทรัพย์ประเภทนี้ แต่ยังรวมถึงสถาบันการเงิน บริษัทเอกชน และรัฐบาล
ปัจจุบันในโลกนี้ มี 8 ประเทศที่ถือบิตคอยน์ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, จีน, สหราชอาณาจักร, ยูเครน, ภูฏาน, ฟินแลนด์, จอร์เจีย และเอลซัลวาดอร์ และแม้ว่าในอดีตกฎระเบียบต่าง ๆ อาจจะยังไม่ชัดเจน แต่วันนี้ สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศรับรองการถือครองแล้ว โดยล่าสุดในประเทศไทยเอง กระทรวงการคลัง ก็ได้ประกาศยกเว้นภาษีคริปโตฯ 0% แล้วเป็นระยะเวลา 5 ปี
ติดตามเพจ Facebook: Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้ - https://www.facebook.com/ThairathMoney