เปิดใจ 'ปรมินทร์ อินโสม' ผู้ก่อตั้ง Satang Pro ทำไมถึงขายกิจการให้ KBank

Tech & Innovation

Digital Assets

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

เปิดใจ 'ปรมินทร์ อินโสม' ผู้ก่อตั้ง Satang Pro ทำไมถึงขายกิจการให้ KBank

Date Time: 30 ต.ค. 2566 18:39 น.

Video

ระเบิดเวลาทองคำ! เตรียมรับมือการขยับครั้งสำคัญ? คุยกับ วรุต รุ่งขำ | Thairath Money Night Stand EP.16

Summary

เปิดใจ ปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้งกระดานเทรดคริปโตฯ Satang Pro ทำไมถึงขายกิจการให้ KBank

Latest


นับว่าเป็นอีกข่าวใหญ่วงการสินทรัพย์ดิจิทัล กับการที่ธนาคารใหญ่อย่าง KBank ประกาศรุกธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเต็มสูบ โดยจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อว่า Unita Capital ด้วยทุนจดทะเบียนกว่า 3,705 ล้านบาท ลุยทั้งธุรกิจบริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัล พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีบล็อกเชน รวมถึงเข้าซื้อหุ้นกว่า 97% ของบริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด (Satang Pro) กระดานเทรดคริปโตฯ สัญชาติไทย ที่ได้รับใบอนุญาตภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2560 (หลังจากนี้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ออร์บิกซ์ เทรด จํากัด) 

สำหรับดีลนี้ถือเป็นการเข้าเทกโอเวอร์กิจการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งผู้ถือหุ้นเดิมได้มีการขายหุ้นเกือบทั้งหมดเพื่อให้ธนาคารมีสิทธิ์ในธุรกิจอย่างเต็มที่ นายปรมินทร์ อินโสม ผู้ก่อตั้ง บริษัท สตางค์ คอร์ปอเรชั่น จํากัด ได้มีการเปิดเผยกับ Thairath Money ว่า จริงๆ แล้วดีลนี้เราได้มีการพูดคุยกับ KBank มานานแล้ว ตั้งแต่ช่วงปลายปี 2021 ณ ตอนนั้นมีหลายเจ้ามาเจรจา แต่ไม่ใช่ธนาคาร ดังนั้นเราจึงเลือกที่จะคุยกับเจ้าใหญ่ที่สุดก่อน จนในที่สุดได้มีการปิดดีล โดย KBank เข้าซื้อ 97% และอีก 3% คือ Binance ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นเดิมอยู่แล้ว 

การขายกิจการครั้งนี้ KBank จะได้ทรัพย์สินของ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น ทั้งหมด ยกเว้นชื่อแบรนด์ ทางธนาคารเลยต้องเปลี่ยนชื่อ และหลังจากนี้ Satang ไม่ได้ทำแพลตฟอร์มเทรดแล้ว แต่จะมุ่งเน้นธุรกิจไปที่การพัฒนาเทคโนโลยีและโมเดลแบบ B2B แทน อย่างบล็อกเชนโซลูชัน ซึ่งเดิมให้บริการลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมี Satang Space ทำธุรกิจเกี่ยวกับอวกาศ เช่น ตรวจสอบขยะอวกาศใกล้ภาคพื้นดินที่ประเทศไทยส่องถึง เพื่อที่จะเอาข้อมูลไปขายให้กับเจ้าของดาวเทียมอีกทีหนึ่ง ซึ่งเพิ่งได้รับทุนมาจาก สำนักนวัตกรรมแห่งชาติ (NIA)

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมถึงเลือกที่จะขายหุ้นทั้งหมด แทนที่จะถือไว้บางส่วนเพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในธุรกิจต่อ นายปรมินทร์ กล่าวว่า ตนทำกับมันมาสักระยะแล้ว มองว่าถ้าจะให้ธุรกิจนี้มันสามารถเติบโตได้จริงๆ อาจจะต้องไปเริ่มทำจากธุรกิจที่ไม่กำกับดูแลก่อน เพราะธุรกิจที่มีการกำกับดูแลต้องยอมรับว่า เป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินมาก ถึงจะทำให้มันรอดไปได้เรื่อยๆ ในเคสนี้ตลาดมันจะเริ่มมีการกำกับดูแลมากขึ้น ถ้าถือไปสักพักนึงมันก็จะมีการระดมทุนเพิ่มแน่ๆ ในลักษณะที่แบบต้องฉีดเงินทุนเข้าไปอีก มันจะเป็นในลักษณะว่าใครจะอยู่ได้นานกว่า มันเป็นธุรกิจที่ต้องเผาเงินเยอะ ณ ช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อให้ปฏิบัติตามการกำกับดูแลได้ รวมถึงการรักษาส่วนแบ่งตลาดอีก ถ้าอยู่ในไทย คือ ถือเป็นธุรกิจที่ต้องใช้เงินอีกเยอะ และใช้เวลาอีกนานด้วย 

นายปรมินทร์ กล่าวต่อว่า มันไม่ใช่ตลาดที่ผู้เล่นรายย่อยเล่นได้แล้ว ต่อให้ผมถือหุ้นอยู่อีก ถ้ารันไปแล้วมันต้องขาดทุนไปเรื่อยๆ จนต้องเพิ่มทุนเข้ามา ถึงตอนนั้นสัดส่วนที่ผมถืออยู่ ผมก็ต้องเพิ่มทุนเพื่อคงสัดส่วนการถือหุ้นของตัวเองไว้เท่าเดิม หรือถ้าผมไม่เพิ่มเข้าไปสัดส่วนของผมก็จะน้อยลงอยู่ดี 

และหากมีผู้เล่นรายใหญ่อย่างธนาคารเข้ามาดูแล มองว่าจะส่งผลดีโดยจะทำให้มีคนทำงานทางด้านนี้ในไทยก็จะมีมากขึ้น เพราะธนาคารมีทรัพยากรที่จะจ้างบุคลากรมาทำงานด้านนี้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานให้ไทย สร้างคนที่มีความรู้ด้านนี้มากขึ้น เหมือนกับที่เรามีคนทำงานสายตลาดทุนมากขึ้น และต่อไป เมื่อพูดถึงตลาดการเงินก็จะทำให้เราไม่ได้ด้อยกว่าประเทอื่นๆ ในภูมิภาคนี้ รวมถึงสามารถขยายตลาดให้ใหญ่ขึ้นด้วย 

แต่ในขณะเดียวกันมันก็จะกลายเป็นเรื่องยากที่รายย่อยจะเข้ามาเล่นในตลาดนี้ได้อีกในอนาคต เหมือนที่เราเห็นในตลาดอย่างบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ที่มีมาก่อนหน้านี้ก็จะมีแต่ผู้เล่นรายใหญ่ในประเทศ หรือไม่ก็จะเป็นรายใหญ่ต่างประเทศมาเปิดสาขาย่อย ในอนาคตกระดานเทรดต่างๆ ก็จะเป็นแบบนั้น  

อย่างไรก็ตามสิ่งที่สะท้อนจากดีลนี้ นายปรมินทร์ให้มุมมองว่า อะไรที่มันจะตายแล้วมันไม่ตาย อันนี้เป็นบทพิสูจน์แล้วว่ามันไปได้ และบทบาทของเขาหลังจากนี้จะไปทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีมากขึ้น เพราะเป็นความชอบ ส่วนเหรียญ Firo ยังคงทำอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน  


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ