
ประเทศไทยตั้งเป้า Net Zero ปี 2050 และลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 47% ภายในปี 2035
ประเทศไทยได้ประกาศแผนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี ค.ศ.2050 หรือ พ.ศ.2593 อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2025 ในการประชุม COP30 ที่ประเทศบราซิล ผ่านการเสนอแผน Nationally Determined Contribution (NDC) ฉบับใหม่ ซึ่งเร็วขึ้นจากกำหนดการเดิม 15 ปี
พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) หรือลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 (ปีฐาน) ให้ได้ภายในปี 2035
การผลักดันนโยบาย Net Zero ของไทยให้บรรลุเป้าหมายนั้น นับจากนี้จะต้องมีการออกกฎเกณฑ์ และกฎหมายเพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ในปี 2050 โดยเฉพาะร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ร่าง พ.ร.บ. Climate Change) ซึ่งจะเป็นกฎหมายหลักในการดำเนินการที่เกี่ยวกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
โดยมีสาระสำคัญ เช่น การบังคับรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG reporting) สิทธิหรือโควตาในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (ETS) ของแต่ละอุตสาหกรรม ผู้ที่ปล่อยก๊าซ
เรือนกระจกเกินจากโควตาต้องซื้อขายคาร์บอนเครดิตมาชดเชย การกำหนดกลไกราคาคาร์บอนภาคบังคับรวมถึงภาษีคาร์บอน
ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในฐานะที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและขับเคลื่อนความยั่งยืนในตลาดทุนมาอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างระบบนิเวศที่นำไปสู่ความยั่งยืนของทุกภาคส่วนในตลาดทุน ขณะที่การกำหนดเป้าหมาย Net Zero ของไทย ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของโลก และเพื่อรองรับ กติกาของโลก ที่บังคับให้ประเทศและบริษัทที่ต้องการทำธุรกิจในตลาดโลก ต้องเปิดเผยข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลนั้น
ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงได้พัฒนา SETCarbon ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มในการคำนวณและรายงานข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร สำหรับบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ และบริษัทที่เป็นลูกค้าธนาคารพันธมิตร เพื่อให้มีมาตรฐานเดียวกัน และง่ายสำหรับการใช้งาน เพียงป้อนข้อมูลพื้นฐาน
ยกตัวอย่างเช่น บิลน้ำมันที่ใช้ในกิจกรรมการใช้เชื้อเพลิง และบิลไฟฟ้าสำหรับการใช้พลังงานในสำนักงานหรือโรงงาน ระบบจะคำนวณหรือประมวลผลเป็นปริมาณตันคาร์บอนที่ปล่อยออกมาใน Scope 1 ซึ่งหมายถึงการปล่อยก๊าซที่มาจากกิจกรรมโดยตรงของบริษัท และ Scope 2 ซึ่งหมายถึงการปล่อยก๊าซจากการใช้พลังงานทางอ้อมให้ทันที
จุดเด่นของ SETCarbon ที่ต่างจากแพลตฟอร์มอื่น คือ ระบบนี้ได้รวมกระบวนการที่ซับซ้อนให้จบภายในแพลตฟอร์มเดียว ตั้งแต่การรวบรวมข้อมูล, การคำนวณ การจัดเก็บและวิเคราะห์ ไปจนถึงการรายงานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกรายบริษัทและรายอุตสาหกรรม รวมทั้งการเชื่อมต่อกับหลายหน่วยงาน แบบ end-to-end ช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการข้อมูล
โดย นายศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานพัฒนาความยั่งยืนตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า แพลตฟอร์ม SETCarbon ยังได้รับการรับรองจาก “องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.” ซึ่งเป็นหน่วยงานกลางด้านมาตรฐานคาร์บอนของประเทศไทย ที่ถูกออกแบบมาให้มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับมาตรฐานการคำนวณก๊าซเรือนกระจกในองค์กรระดับสากล ทั้ง Carbon Footprint for Organization (CFO), GHG Protocol และมาตรฐานการรายงานความยั่งยืนใหม่ อย่าง ISSB (IFRS S2) ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ ก.ล.ต.จะเริ่มบังคับใช้กับบริษัทกลุ่ม SET50 โดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2026 เพื่อรายงานในปี 2027 ดังนั้น จึงทำให้ข้อมูลคาร์บอนของภาคธุรกิจไทยมีความน่าเชื่อถือ และสามารถใช้อ้างอิงได้ทั้งในและต่างประเทศ
และยังช่วยให้กระบวนการทวนสอบ โดยผู้ทวนสอบ (verifier) ซึ่งเป็น Third party ง่ายขึ้น หลังจากข้อมูลถูกทวนสอบแล้ว ระบบถูกออกแบบให้เชื่อมโยงข้อมูลไปยัง 2 ปลายทางสำคัญ คือ ระบบ e-One Report ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อปฏิบัติตามเกณฑ์ (Compliance) และระบบ SETSMART เปิดเผยข้อมูลเพื่อให้นักลงทุนและผู้จัดการกองทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพ เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุน
“การรับรองนี้ คือการยืนยันว่ากระบวนการคำนวณของ SETCarbon ทั้งหมด สอดคล้องกับมาตรฐานสากล SETCarbon จึงถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านความยั่งยืนให้กับตลาดทุนไทย ในการรวบรวมข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคธุรกิจอย่างเป็นระบบ (GHG Emissions) และมีมาตรฐาน ผ่านการเชื่อมโยงกับระบบ e-One Report ของตลาดหลักทรัพย์ฯ
ซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกอุปสรรคที่ฝังลึกของภาคธุรกิจไทย เป็นก้าวสำคัญในการเปลี่ยนการรายงานข้อมูลคาร์บอนจาก “ภาระ” ของผู้ประกอบการให้กลายเป็น “พาสปอร์ต” สู่โอกาสทางการเงินสีเขียว (Green Finance) และยังเป็นการวางรากฐานสู่ “ฐานข้อมูลคาร์บอนกลาง” (Anchor Dataset) ของประเทศ เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ได้ภายในปี 2050” นายศรพลกล่าว
นายศรพล ยังกล่าวอีกว่า SETCarbon มีเป้าหมายเชื่อมโยงข้อมูลคาร์บอน เข้ากับระบบนิเวศทางการเงิน โดยมีการเชื่อมโยงข้อมูลกับสถาบันการเงินของแพลตฟอร์มตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทาง เพื่อให้ บจ. และลูกค้าของธนาคารพันธมิตร เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น โดยหัวใจสำคัญของแพลตฟอร์มนี้ คือ การสร้างแรงจูงใจทางการเงินที่ชัดเจน เพื่อเปลี่ยนข้อมูลคาร์บอนให้กลายเป็นโอกาส ผ่านกลไก “Win-Win-Win” ที่เชื่อมโยงผู้เล่นหลัก 3 ส่วนในระบบนิเวศเศรษฐกิจเข้าด้วยกัน ดังนี้
1.ผู้ประกอบการ กลุ่มบริษัทขนาดกลางและเล็ก (SMEs) หรือบริษัทที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของบริษัทจดทะเบียน เมื่อใช้แพลตฟอร์มนี้จะสามารถจัดทำข้อมูลรายงาน GHG ที่มีมาตรฐานและน่าเชื่อถือ ข้อมูลนี้จะทำหน้าที่เสมือนพาสปอร์ตทางธุรกิจ ที่สามารถนำไปยื่นต่อสถาบันการเงิน เพื่อเข้าถึงสินเชื่อสีเขียว (Green Loan) ในอัตราดอกเบี้ยที่ดีกว่า
2.สถาบันการเงิน ในฝั่งของธนาคารจะได้รับข้อมูลคาร์บอนของลูกค้าที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน สามารถประเมินความเสี่ยง Climate Risk ของลูกค้า และนำไปออกผลิตภัณฑ์ Climate Finance ได้อย่างมั่นใจ ที่สำคัญธนาคารยังได้ข้อมูลนี้ไปใช้คำนวณ “Finance Emission” (การปล่อยคาร์บอนที่เชื่อมโยงกับการให้สินเชื่อ) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Scope 3 ของธนาคารเอง โดยปัจจุบันตลาดหลักทรัพย์ฯได้ร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรแล้ว 2 ราย คือ EXIM BANK (ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย) และ TTB (ธนาคารไทยธนชาต) ที่มีโครงการสินเชื่อจากความร่วมมือนี้ ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลง และการขอสินเชื่อทำได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งจะมีธนาคารอีกหลายแห่งเข้าร่วม
3.บริษัทจดทะเบียน ประโยชน์ที่ชัดเจนเกิดขึ้นเมื่อห่วงโซ่อุปทานของธุรกิจตนเป็นสีเขียว และสามารถวัดผลได้ การที่ บจ.ผลักดันให้คู่ค้า SMEs ใช้ SETCarbon จะทำให้ บจ.ได้รับข้อมูลปฐมภูมิ (Primary Data) ที่น่าเชื่อถือ ซึ่งจำเป็นต่อการคำนวณคาร์บอน Scope 3 ของ บจ.เอง
นอกจากนี้ ข้อมูลจาก SETCarbon ยังมีประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายกลุ่ม เช่น บจ.สามารถนำตัวเลขไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน ขณะที่นักลงทุน หรือผู้จัดการกองทุนสามารถใช้ข้อมูลเพื่อพิจารณาตัดสินใจลงทุน โดยเฉพาะกองทุนที่เน้นการลงทุนในหุ้นที่มี ESG (กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ที่คำนึงถึงหลักสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) หรือกองทุนที่เจาะจงหุ้นหรือธุรกิจที่ Low Carbon ในส่วนขององค์กรกำกับ อย่างสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) อาจใช้ข้อมูลคาร์บอนเป็นหนึ่งในเกณฑ์สำคัญที่ใช้พิจารณาหุ้น Investment List ของกองทุน Thai ESG
สำหรับกลุ่มเป้าหมายที่ตลาดหลักทรัพย์ฯวางไว้เป็น Priority ในการเข้าถึง SETCarbon คือ กลุ่ม บจ. โดยตั้งเป้าให้มี บจ.ใช้งานไม่ต่ำกว่า 500 แห่ง ภายใน 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กำหนดให้ บจ.ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งหมดต้องเปิดเผยรายงาน GHG Emissons โดยเฉพาะกลุ่ม SET50 ที่ต้องนำร่องรายงานได้ภายใน 2 ปีข้างหน้า ประกอบกับการประกาศใช้ทั้งข้อกฎหมาย รวมทั้งเงื่อนไขทางการค้าระหว่างประเทศต่างๆที่ทยอยมีผลบังคับใช้ในอนาคต ทำให้การรายงาน CFO เป็นสิ่งที่ภาคธุรกิจต้องให้ความสำคัญ เพื่อขับเคลื่อนแผนการลดคาร์บอนได้อย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯยังเดินหน้าขยายการเข้าถึงกลุ่มที่ไม่ใช่ บจ. (Non-Listed Company) โดยเบื้องต้นช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อช่วยการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ โดยนำข้อมูลที่ได้รับรองจาก SETCarbon ในการเข้าถึงซอฟต์โลนที่มีต้นทุนทางการเงินต่ำกว่าสินเชื่อทั่วไป รวมทั้งยังเป็นการช่วยขับเคลื่อนแผน Green Transition ของภาคการเงิน ในการเพิ่มพอร์ตสินเชื่อสีเขียวได้มากขึ้น โดยตั้งเป้าขยายพอร์ตผู้ใช้งานกลุ่ม Non-Listed Company ไว้ไม่ต่ำกว่า 300 ราย ภายใน 5 ปี
“เนื่องจากกลุ่ม Non-Listed เป็นกลุ่มที่อยู่ในซัพพลายเชนธุรกิจขนาดใหญ่ และเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้บรรลุ Net Zero ในสโคป 3 เพื่อลด GHG Emissions ได้สำเร็จตลอดทั้งห่วงโซ่ ทำให้ในอนาคตนอกจากการขยายผ่านกลุ่มลูกค้าแบงก์แล้ว จะเพิ่มการให้บริการไปยังผู้ประกอบการที่อยู่ในซัพพลายเชนของ บจ. และมีศักยภาพในการลดคาร์บอน ธุรกิจไหนที่ไม่เข้าสู่การรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จะเสียโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียว”
นายศรพล กล่าวด้วยว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯเปิดให้บริการระบบ SETCarbon แก่ทั้งบริษัทจดทะเบียนและธนาคารพันธมิตรแล้ว สำหรับการพัฒนาต่อยอดระบบในระยะถัดไป ประกอบด้วย การพัฒนา Emission Scope 3 เพื่อรองรับการคำนวณคาร์บอนตลอดห่วงโซ่อุปทาน และ Dashboard สำหรับติดตามผลการดำเนินงานด้านคาร์บอนเทียบกับเป้าหมายทางการเงิน พร้อมพัฒนา Carbon Data API เพื่อให้หน่วยงานต่างๆสามารถเชื่อมต่อและใช้ข้อมูลได้สะดวก รวมถึงการเพิ่ม GHG Protocol Template ให้ครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯพร้อมยกระดับ SETCarbon ให้เป็นกลไกสำคัญในการพัฒนา “ฐานข้อมูลคาร์บอนกลาง” ของประเทศไทย ให้บริการบริษัทจดทะเบียนและธนาคาร เชื่อมต่อระบบนิเวศ Sustainable Finance เพื่อเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวง่ายขึ้น และเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการขับเคลื่อนตลาดทุนไทยและประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero ได้ภายในปี 2050
รวมทั้งมุ่งมั่นสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและสถาบันการเงินเพื่อขยายการใช้ประโยชน์จากข้อมูลคาร์บอนในภาคเศรษฐกิจ เดินหน้านำประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ ได้อย่างยั่งยืน.
ทีมเศรษฐกิจ
คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปเศรษฐกิจ” เพิ่มเติม