ป่ารอด คนรอด โลกไม่พัง MFLF Forum 2025 เวทีระดมความคิด หาทางออกยั่งยืนท่ามกลางวิกฤติโลก

Sustainability

ESG Strategy

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ

Tag

ป่ารอด คนรอด โลกไม่พัง MFLF Forum 2025 เวทีระดมความคิด หาทางออกยั่งยืนท่ามกลางวิกฤติโลก

Date Time: 23 ก.ย. 2568 10:57 น.

Video

Jack Ma กลับมา จะพา Alibaba สร้างอำนาจใหม่ให้วงการเทคจีนได้ยังไง ? | Digital Frontiers EP.50

Summary

มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale) ระดมความคิดหาทางออกเพื่อยั่งยืน

Latest


ท่ามกลางความท้าทายรอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่โลกกำลังเผชิญหน้า หลายฝ่ายอาจมองข้าม "ความยั่งยืน" ไป มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ตอกย้ำถึงความสำคัญของเรื่องนี้อีกครั้งในงานงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้แนวคิด“วิกฤตโลก ทางออกไทย” (Global Challenges, Local Solutions at Scale) เปิดเวทีระดมความคิดหาทางออกเพื่อ ความยั่งยืน ที่ไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่คือ "ทางรอด" ที่แท้จริงของทั้งคนและธรรมชาติ

โดยงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ได้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 เพื่อเป็นเวทีให้ทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชน ได้ร่วมระดมความคิดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เชิงปฏิบัติด้านความยั่งยืน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความท้าทายที่รุนแรง ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สงคราม และการแข่งขันทางการค้า ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองข้ามเรื่องความยั่งยืนไป

ท่านผู้หญิงบุตรี  วีระไวทยะ ประธานกรรมการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ เป็นประธานในพิธีเปิด พร้อมด้วยคณะกรรมการมูลนิธิฯ กล่าวว่า ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ได้นำองค์ความรู้และประสบการณ์จากโครงการพัฒนาต่างๆ รวมถึงแนวทาง "ปลูกป่า ปลูกคน" มาต่อยอดและขยายผลสู่การทำงานในพื้นที่ป่าชุมชน โดยได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนกว่า 25 หน่วยงาน 

ด้วยความมุ่งมั่นนี้ มูลนิธิฯ สามารถฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่าชุมชนไปแล้วกว่า 250,000 ไร่ พร้อมทั้งเสริมสร้างศักยภาพของชุมชนที่อาศัยอยู่ร่วมกับป่า ให้สามารถดูแลรักษาป่าได้อย่างยั่งยืน ป้องกันไฟป่า และแก้ปัญหา PM 2.5 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาอาชีพที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตและธรรมชาติ

“ความยั่งยืนไม่ใช่สิ่งที่ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่คือหนทางรอดและเป็นคำตอบสำหรับความท้าทายที่เรากำลังเผชิญ โดยเฉพาะในประเทศที่กำลังประสบปัญหาความยากจน ซึ่งความร่วมมือจากทุกภาคส่วนถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง” 

ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับนโยบายและแนวทางการรักษาทรัพยากรธรรมชาติของประเทศไทยว่า ทั่วโลกกำลังเผชิญวิกฤตการณ์ที่หลากหลาย ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์, สงครามการค้า, กฎระเบียบโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 

รวมถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ มลพิษ, การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงและรวดเร็ว, และการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ ข้อมูลจากปี 2567 พบว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกสูงขึ้นถึง 1.75 องศาเซลเซียส เหนือเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียสที่ตั้งไว้ในความตกลงปารีส สะท้อนให้เห็นถึงความผันผวนของสภาพภูมิอากาศ รายงานของคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) ระบุว่าโลกกำลังเผชิญ 4 ปัจจัยเร่งด่วน ได้แก่

  • ขีดความสามารถในการปรับตัวที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง
  • ผลกระทบระดับท้องถิ่นที่ทวีความรุนแรง
  • ความพยายามของคนทั่วโลกยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะด้านการเงินช
  • ความจำเป็นในการขยายความร่วมมือ ระหว่างรัฐ, เอกชน, และประชาชนในระดับพื้นที่

“ป่าไม้” รากฐานสำคัญสู่ความยั่งยืน

ดร. พิรุณ เน้นย้ำถึงความสำคัญของป่าไม้ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืน และยกตัวอย่างวิสัยทัศน์ของ “สมเด็จย่า” ในการทำงานร่วมกับประชาชนเพื่อดูแลป่า ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพที่ระบุว่า การอนุรักษ์และการป้องกันต้องควบคู่ไปกับการใช้ประโยชน์และแบ่งปันผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม

จากข้อมูลของ World Research Institute พบว่าในช่วงปี 2567 ป่าไม้ทั่วโลกสูญเสียไปถึง 42 ล้านไร่จากการเกิดไฟป่า แม้ว่าประเทศไทยจะมีพื้นที่ป่าไม้ลดลงเพียง 32,000 ไร่ แต่ก็ต้องเร่งพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสในการเพิ่มพื้นที่ป่าด้วยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน

กฎหมายและกลไกใหม่เพื่อขับเคลื่อนประเทศ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับกฎระเบียบการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดมากขึ้น เช่น

  • CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) หรือการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน สำหรับสินค้าส่งออกบางประเภท
  • EUDR (EU Deforestation Regulation) ที่ควบคุมสินค้าที่อาจเกี่ยวข้องกับการตัดไม้ทำลายป่า

เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ รัฐบาลไทยกำลังผลักดันการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างเต็มที่ และเตรียมประกาศเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกเพิ่มเติมเป็น 109.2 ล้านตันคาร์บอนในปี 2578 เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมาย 1.5 องศาเซลเซียส และก้าวสู่การเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2593 

ทั้งนี้ หัวใจสำคัญของการขับเคลื่อนคือ การสร้างระบบนิเวศและกลไกการเงินระยะยาว ผ่านร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศฉบับใหม่ ที่จะใช้ กลไกราคาคาร์บอน โดยเชื่อมโยงคาร์บอนเครดิตภาคสมัครใจ (voluntary carbon market) เข้ากับภาคบังคับ (mandatory carbon market) โดยจะนำ T-VER ซึ่งเป็นมาตรฐานคาร์บอนเครดิตของไทยมาใช้ เพื่อให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินจากภาคเอกชนไปสู่ชุมชนท้องถิ่นที่ช่วยดูแลรักษาป่า ถือเป็นการสร้างแรงจูงใจที่ยั่งยืนให้แก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากกว่าการใช้มาตรฐานสากลที่อาจทำให้ปริมาณคาร์บอนเครดิตลดลงอย่างมาก

ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้ยังมุ่งสร้าง ความสมดุลระหว่างการสนับสนุนและข้อบังคับ โดยให้ความสำคัญกับหลักการที่ว่ากฎหมายต้องนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นและความยั่งยืนในอนาคตของคนไทยทุกคน รวมถึงการจัดตั้ง กองทุนภูมิอากาศ และกลไกการเงินของคาร์บอนเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานในทุกภาคส่วน โดยจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืน

ขณะที่ หม่อมหลวงดิศปนัดดา ดิศกุล เลขาธิการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ กล่าวว่า “เวทีในวันนี้สะท้อนชัดว่า ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงเป้าหมายหรือเกณฑ์ที่ต้องทำให้สำเร็จ แต่คือกุญแจสู่การอยู่รอดและการสร้าง co-benefit แก่ทุกภาคส่วน เราต้องผนวกความยั่งยืนเข้ากับทุกมิติ ตั้งแต่นโยบาย การดำเนินธุรกิจ ไปจนถึงวิถีชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะภาครัฐที่ต้องมีบทบาทผลักดันเชิงนโยบายให้เกิดผลในระดับชาติ และไม่ว่าโลกจะเผชิญวิกฤตด้านใดหรือเศรษฐกิจจะผันผวนเพียงใด การแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพต้องเดินหน้าต่อ เพราะนี่คือสารัตถะสำคัญที่สุดเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์และธรรมชาติ

สิ่งสำคัญคือ ‘ต้องช่วยให้คนรอดก่อน ป่าจึงจะรอด’ การเดินหน้าสู่ Net Zero จึงไม่ควรทิ้งชุมชนแนวหน้าไว้ข้างหลัง แต่พวกเขาต้องได้รับประโยชน์ร่วมด้วย โครงการคาร์บอนเครดิตในป่าชุมชนพิสูจน์แล้วว่า การดูแลป่าไม่เพียงช่วยดูดซับคาร์บอน แต่ยังสร้างรายได้ พัฒนาทักษะ เสริมความรู้สึกเป็นเจ้าของ และยกระดับคุณภาพชีวิตของชุมชน อีกทั้งยังสามารถต่อยอดไปสู่กลไกการเงินด้านสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็น biodiversity credit, nature fund หรือ payment for ecosystem services ซึ่งเปรียบเสมือน ‘สกุลเงิน’ ที่สร้างแรงจูงใจให้ชุมชนอยู่กับป่าและดูแลความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง โดยไม่ทิ้งใครและไม่ทิ้งธรรมชาติไว้ข้างหลัง”

ต่อจากนั้นเป็นการเสวนาหลัก 3 ช่วง ได้แก่ 

ช่วงที่ 1 “วิกฤติโลก ทางออกไทย” 

มีผู้ร่วมแลกเปลี่ยนคือ ดร. กรินทร์ บุญเลิศวณิชย์ รองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทย คุณปิยะชาติ อิศรภักดี ประธาร่วม BRANDi Institute of Systematic Transformation (BiOST) และ ดร. สุภัชญา เตชะชูเชิด ผู้เชี่ยวชาญด้าน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ 

โลกเปลี่ยน...แล้วเราจะปรับตัวอย่างไร?

โดยสะท้อนภาพรวมของโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม จนหลายคนมองว่าการขับเคลื่อนความยั่งยืนขัดกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่เนื้อหาในการพูดคุยชี้ให้เห็นว่าความยั่งยืนและการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถเดินไปด้วยกันได้ หากเกิดการ “รีบาลานซ์” ระหว่างผลกำไรกับผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม 

ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและมองโอกาสจากการลงทุนสีเขียวเพื่อสร้าง S curve ใหม่ ลดต้นทุนของการไม่ทำ และใช้กลไก Public Private Partnership (PPP) กับระบบนิเวศที่เอื้อให้ภาคธุรกิจและชุมชนมีส่วนร่วม นอกจากนี้ยังเน้นว่าการบริหารจัดการทรัพยากรควรเริ่มจากการกระจายอำนาจสู่ชุมชน คิดเชิงป้องกันมากกว่ารอแก้ไข และเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในมิติกว้าง ทั้งหมดนี้คือแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศไทยก้าวข้ามวิกฤตโลกไปสู่อนาคตที่ยั่งยืนโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงหนึ่ง ดร. กรินทร์ ได้เปิดประเด็นว่า “โลกกำลังเผชิญกับความย้อนแย้งที่น่าสนใจ ระหว่างการมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบเดิมกับความต้องการที่จะบรรลุเป้าหมายความยั่งยืน ถึงแม้ปัญหาต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศ และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม จะเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้คนหันมาสนใจเรื่องความยั่งยืนมากขึ้น แต่ในทางกลับกัน ความต้องการที่จะฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้นก็เป็นแรงผลักดันให้ผู้นำและองค์กรต่าง ๆ กลับไปให้ความสำคัญกับสิ่งที่ใกล้ตัวมากกว่า”

ที่น่ากังวลคือ ในสมการการเติบโตของโลกที่ใช้ GDP เป็นตัวชี้วัด ยังไม่ได้รวมต้นทุนที่แท้จริงของ "Ecosystem Services" หรือการบริการจากระบบนิเวศเข้าไปด้วย ทั้งที่ในความเป็นจริง เราใช้ทรัพยากรธรรมชาติเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในทุกอุตสาหกรรม นี่คือปัญหาเชิงโครงสร้างที่ทำให้การเติบโตที่ผ่านมาเป็นการเติบโตที่ทำให้ "อนาคตมีอายุสั้นลง" เพราะเรามีความสุขในวันนี้ แต่ผลกระทบถูกส่งต่อไปยังอนาคตข้างหน้า

การเงินต้องเปลี่ยนบทบาท จากผู้ให้กู้สู่ผู้ร่วมสร้าง

ด้าน คุณปิยะชาติ ได้เน้นย้ำถึงบทบาทของสถาบันการเงินในการเป็นพลังขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ โดยเฉพาะในฐานะผู้ปล่อยสินเชื่อ เนื่องจากภาคการเงินไม่สามารถเติบโตได้หากธุรกิจและเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่สามารถปรับตัวตามโลกที่เปลี่ยนไปได้ 

“แม้ว่าจะมีเงินลงทุนด้านการเปลี่ยนผ่านเพื่อสิ่งแวดล้อม (Climate Finance) ไหลเวียนอยู่ทั่วโลก แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทย ที่ปล่อยคาร์บอนถึง 1.1% ของโลก แต่มีเม็ดเงินสนับสนุนเพียง 0.4% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่ายังขาดแคลนเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงอีกมหาศาล ซึ่งสะท้อนถึงความไม่สมดุลระหว่างการมีส่วนร่วมในการปล่อยมลพิษและการได้รับความช่วยเหลือด้านการปรับตัวและลดผลกระทบจากภาวะโลกร้อน”

หรือแม้กระทั่ง ดร. สุภัชญา ได้นำเสนออีกมุมมองที่สำคัญ ซึ่งมักถูกมองข้าม นั่นคือผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ ชุมชนและระบบนิเวศโดยตรง ที่ได้ชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงแบบ Slow-Onset Event หรือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่มีผลกระทบรุนแรง เช่น อุณหภูมิที่สูงขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและประสิทธิภาพในการทำงานของคน หรือภาวะน้ำเค็มรุกพื้นที่เกษตรกรรม ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไขอย่างยั่งยืน ไม่ใช่แค่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า

กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ

ช่วงที่ 2 “กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ” ผู้ร่วมเสวนา ได้แก่ 

คุณทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) คุณนิรันดร์ นิรันดร์นุต  Country Project Manager, UNDP BIOFIN คุณณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) คุณสมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ 

ซึ่งได้เน้นย้ำถึงบทบาทสำคัญของภาคป่าไม้ต่อเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ รวมถึงความจำเป็นของคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงและเครื่องมือทางการเงินเพื่อความยั่งยืนในฐานะตัวเชื่อมมนุษย์ คาร์บอน และสิ่งแวดล้อม จึงต้องเร่งรักษาและขยายพื้นที่สีเขียว โดยเฉพาะป่าชุมชนที่สอดคล้องกับ SDGs และเป้าหมาย Net Zero ในขณะเดียวกัน การลงทุนนวัตกรรมทางการเงิน เช่น blended finance และการกำหนดตัวชี้วัดที่ชัดเจน จะเปิดโอกาสสร้างผลลัพธ์หลายด้าน ทั้งลดก๊าซเรือนกระจก รักษาความหลากหลายทางชีวภาพ และยกระดับชีวิตชุมชน พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจผนวกประเด็นสังคมและสิ่งแวดล้อมเข้ากับกลยุทธ์สร้างมูลค่า โครงการป่าชุมชนจึงถูกยกเป็นตัวอย่างความสำเร็จของคาร์บอนเครดิตที่มีมาตรฐานสูงและการมีส่วนร่วมของชุมชน และยังเป็นสะพานไปสู่นวัตกรรมการเงินใหม่ๆ เช่น biodiversity credit และ nature credit ที่กระจายโอกาสการพัฒนาไปยังพื้นที่ชนบท ทำให้การลงทุนด้านความยั่งยืนกลายเป็นทั้งโอกาสทางธุรกิจและกุญแจสู่การอยู่รอดของทั้งคนและธรรมชาติ

คุณณกรณ์ กล่าวเสริมว่า ไทยมีความได้เปรียบกว่าหลายประเทศในอาเซียนเนื่องจากมีหน่วยงานที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้โดยตรง และมีมาตรฐาน “T-VER” (Thailand Voluntary Emission Reduction) หรือโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย ซึ่งมีความสอดคล้องกับบริบทของประเทศ

“ปัจจุบันมีโครงการ T-VER ที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 138 โครงการ คิดเป็นพื้นที่ 900,000 ไร่ และมีการรับรองปริมาณคาร์บอนเครดิตไปแล้วกว่า 500,000 ตัน โดย 30% มาจาก ป่าชุมชน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการอนุรักษ์ป่า นอกจากนี้ยังมีการพัฒนา "Premium T-VER" เพื่อใช้ในการออฟเซ็ตคาร์บอนในระดับสากลอีกด้วย กระนั้นแม้จะมีความคืบหน้า แต่ยังคงมีความท้าทายในเรื่องต้นทุนการทำคาร์บอนเครดิต และความสำคัญของการอนุรักษ์ ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ที่มักถูกมองข้ามไป”

ซึ่งก้าวต่อไป TGO กำลังผลักดันให้มาตรฐาน Premium T-VER ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ เพื่อให้สามารถซื้อขายคาร์บอนเครดิตในเวทีโลกได้ และกำลังเร่งรัดการเจรจาถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตกับต่างประเทศ โดยหวังว่าจะเสร็จสิ้นกับญี่ปุ่นภายในปี 2568

คุณนิรันดร์ ให้ความสำคัญกับ ความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเปรียบเทียบว่าเป็น “ชีวิต” และเป็นรากฐานสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้านการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคม เธอเน้นว่าการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพเป็นเรื่องที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และเป็นความท้าทายที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกัน

“ยกตัวอย่างเกาะเต่าที่สามารถจัดเก็บเงินค่าธรรมเนียม 20 บาทจากนักท่องเที่ยวเพื่อนำมาดูแลปะการังและปัญหาขยะ รวมถึงการทำงานร่วมกับภาคธนาคารในการออกแบบแพลตฟอร์มระดมทุน (Crowdfunding) เพื่อช่วยชุมชนในช่วงวิกฤติโควิด”

ขณะที่ คุณสมิทธิ เน้นย้ำว่าการอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ใช่แค่เรื่องของการดูดซับคาร์บอน แต่เป็นเรื่องของการสร้างที่อยู่อาศัยให้กับสิ่งมีชีวิต ป้องกันดินถล่ม และฟอกอากาศ ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะ “ชุมชน” ที่เป็นแนวหน้าในการดูแลป่า

โดยมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงได้ร่วมมือกับภาคเอกชนในการขยายพื้นที่ทำงานกับป่าชุมชนไปแล้วกว่า 250,000 ไร่ มีประชาชนได้รับประโยชน์กว่า 130,000 คน และมีรายได้เข้ากองทุนชุมชนกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการสร้าง “กลไกการเงินที่ยุติธรรม” เป็นหัวใจสำคัญในการขับเคลื่อน ซึ่งโครงการที่ทำร่วมกับภาคเอกชนไม่ใช่แค่ CSR แต่ต้องสร้างผลตอบแทน (Return) ที่ยั่งยืน

นอกจากนี้ คุณทวิโรจน์ ได้เล่าถึงบทบาทของการบินไทยในการฟื้นฟูองค์กรและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความยั่งยืน โดยเปลี่ยนจากสโลแกน “รักคุณเท่าฟ้า” มาเป็นการเป็นสายการบินแห่งชาติที่ “คนในชาติภาคภูมิใจ” ซึ่งครอบคลุมทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ก้าวต่อไป: การบินไทยตั้งเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 และจะทำหน้าที่เป็นผู้นำในการสร้างความร่วมมือด้านความยั่งยืนในระดับภูมิภาคอาเซียน โดยการจัดตั้งกลุ่มทำงาน “ASEAN Airline Sustainability Working Group” เพื่อผลักดันให้เกิดมาตรฐานร่วมกัน

จากป่าชุมชนสู่กลไกการเงินเพื่อสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน

ช่วงที่ 3 “เสวนาพิเศษ” โดยมี คุณวิชัย เป็งเรือน ผู้ใหญ่บ้านต้นผึ้งและประธานเครือข่ายป่าชุมชน จังหวัดเชียงใหม่ คุณทอน ใจดี ประธานเครือข่ายป่าชุมชนจังหวัดพะเยา และ คุณไพบูล ตันกูล ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ หุ้นส่วนและกรรมการบริษัท PwC Thailand 

ร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ตรงของชุมชนที่ร่วมโครงการป่าชุมชน โดยย้ำว่าการดูแลป่าอย่างเป็นระบบช่วยให้คนกับธรรมชาติเกื้อกูลกันในทุกมิติ ชุมชนทั้งที่แม่โป่งและบ้านปี้มีคณะกรรมการและชาวบ้านทุกช่วงวัยร่วมกันวางกฎระเบียบ ใช้ประโยชน์และดูแลป่าอย่างยั่งยืน จัดการแหล่งน้ำและเชื้อเพลิง ลดไฟป่า และต่อยอดเป็นอาชีพเสริม เช่น ทำจานใบไม้ ไม้กวาด น้ำผึ้ง และการท่องเที่ยวชุมชน จนเกิดกองทุนและเครือข่ายปลอดการเผา พร้อมทั้งเปิดพื้นที่เป็นแหล่งศึกษาและถ่ายทอดความรู้ให้ชุมชนอื่น ด้านภาคเอกชนมองว่าโครงการนี้ตอบโจทย์ทั้งเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศและการลงทุนด้านความยั่งยืน จึงเข้ามาสนับสนุนและให้คำปรึกษาด้านการตรวจติดตามการเงิน เพื่อเสริมสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงที่สะท้อนประโยชน์ทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

ภายในงานยังมีพิธีส่งมอบคาร์บอนเครดิตจำนวน 43,123 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (tCO₂e) ซึ่งถือเป็นปริมาณคาร์บอนเครดิตจากโครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าที่มากที่สุดที่เคยมีการส่งมอบในประเทศไทย จากโครงการ “คุณดูแลป่า เราดูแลคุณ: การจัดการคาร์บอนเครดิตในป่าเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน” ที่ดำเนินมาตั้งแต่ปี 2564 ครอบคลุม 12 โครงการใน 4 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงราย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และพะเยา 

โดยส่งมอบให้แก่ 7 องค์กรเอกชน ความสำเร็จนี้อาศัยความร่วมมือจาก 14 หน่วยงานและเครือข่ายป่าชุมชน และตั้งอยู่บนรากฐาน “ปลูกป่า ปลูกคน” ที่มูลนิธิฯ สานต่อร่วมกับกรมป่าไม้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และภาคเอกชนกว่า 30 ราย ฟื้นฟูป่าชุมชนแล้วกว่า 250,000 ไร่ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม พร้อมส่งเสริมศักยภาพชุมชนในการรักษาป่าและเพิ่มการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน การฟื้นฟูและอนุรักษ์ป่า ตลอดจนการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการจัดงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ครั้งนี้จึงไม่เพียงเป็นเวทีแห่งปีในการระดมความคิดและความร่วมมือด้านความยั่งยืน แต่ยังสะท้อนพันธกิจระยะยาวของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ที่จะยืนหยัดเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่เศรษฐกิจที่แข่งขันได้บนฐานความยั่งยืน โดยมีทั้งเวทีนี้และกิจกรรมอื่นๆ เป็นกลไกสำคัญที่จะผลักดันให้ “ความยั่งยืน” กลายเป็นพลังขับเคลื่อนจริงในระดับบุคคล องค์กร และประเทศอีกด้วย

ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้  https://www.facebook.com/ThairathMoney


Author

กองบรรณาธิการ

กองบรรณาธิการ