คอลัมน์ Sustainable together สัปดาห์นี้ได้สัมภาษณ์ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในโอกาสที่ กฟผ.มีอายุการดำเนินงานครบรอบ 56 ปี
คอลัมน์ Sustainable together สัปดาห์นี้ได้สัมภาษณ์ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ในโอกาสที่ กฟผ.มีอายุการดำเนินงานครบรอบ 56 ปี
โดยนายเทพรัตน์ได้เล่าให้ฟังว่า 56 ปีที่ผ่านมา กฟผ.ในฐานะองค์กรหลักของการบริหารจัดการการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย ให้มีความมั่นคงมาโดยตลอดนับตั้งแต่ก่อตั้ง กฟผ. และจากนี้ไป กฟผ.จะยังคงยึดมั่นพันธกิจแห่งความยั่งยืนด้านพลังงานและสังคม เพื่อพัฒนาพลังงานไฟฟ้าที่เหมาะสมกับโลก
ภายใต้ยุทธศาสตร์ การเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าสีเขียว โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (Small Modular Reactor : SMR) เพื่อตอบโจทย์ความมั่นคงด้านพลังงาน โดยนับตั้งแต่กำลังผลิตเริ่มต้นเพียง 908 เมกะวัตต์ เมื่อครั้งก่อตั้ง กฟผ.วันที่ 1 พ.ค.2512 จวบจนปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังผลิตไฟฟ้าเพิ่มขึ้นเป็น 52,017 เมกะวัตต์ เป็นโรงไฟฟ้าของ กฟผ. 16,261 เมกะวัตต์ คิดเป็น 31.26% มีสายส่งไฟฟ้าทั่วประเทศ ความยาว 40,041 วงจร–กิโลเมตร
“ในช่วงเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด กฟผ.ได้ให้ความสำคัญ ของการรักษาความมั่นคงทางพลังงาน โดยหาจุดสมดุลระหว่างการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และพลังงานหมุนเวียนที่เหมาะสมกับประเทศไทย”
เนื่องจากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เป็นแหล่งพลังงานที่มีความผันผวน มีความสามารถในการผลิตไฟฟ้าอยู่ที่ 17-20% เท่านั้น ประกอบกับสถิติการใช้ไฟฟ้าของไทยที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ กฟผ.จึงต้องพัฒนาระบบผลิตและส่งไฟฟ้าให้มีความทันสมัยและยืดหยุ่น (Grid Modernization) รองรับความผันผวนของพลังงานหมุนเวียนที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อาทิ
การปรับปรุงโรงไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น (Flexible Power Plant)ให้สามารถเร่งหรือลดการผลิตไฟฟ้าได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้กำลังผลิตไฟฟ้าเพียงพอตามความ ต้องการในทุกช่วงเวลา, การปรับปรุงระบบส่งไฟฟ้าให้มีความยืดหยุ่น (Grid Flexible) โดยติดตั้งแบตเตอรี่กักเก็บพลังงาน ควบคู่กับการบริหารจัดการร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังน้ำแบบสูบกลับ เพื่อลดความผันผวน รักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า
ขณะเดียวกัน ยังเน้นการเพิ่มศักยภาพการวางแผนผลิตไฟฟ้า ด้วยศูนย์พยากรณ์การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เพื่อนำไปใช้สำหรับวางแผนผลิตไฟฟ้าร่วมกับโรงไฟฟ้าหลักๆ
“ กฟผ.จะเร่งเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าสีเขียวผ่านโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ทุ่นลอยน้ำเขื่อนของ กฟผ. จำนวน 3 โครงการ อาทิ ที่เขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณ จ.กาญจนบุรี รวมถึงโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำเขื่อนลำปาว จ.กาฬสินธุ์ ทั้งหมดนี้จะจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ได้ในปี 2569”
กฟผ.ยังจะเร่งการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าสะอาดแห่งอนาคตที่ตอบโจทย์ความมั่นคงและความยืดหยุ่นของระบบไฟฟ้า สามารถผลิตไฟฟ้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง และเดินเครื่องร่วมกับโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มีต้นทุนค่าไฟฟ้าที่แข่งขันได้ และไม่มีความผันผวนของราคาเชื้อเพลิง
อีกทั้งระบบความปลอดภัยยังลดความซับซ้อนของอุปกรณ์ที่ออกแบบให้อยู่ในรูปแบบโมดูล ซึ่งผลิตและประกอบเบ็ดเสร็จจากโรงงานที่ควบคุมคุณภาพได้ดี รวมถึงสามารถหยุดทำงานได้อัตโนมัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน มีระบบระบายความร้อนที่ไม่ต้องพึ่งพา ไฟฟ้าสำรอง
“ขนาดของโรงไฟฟ้าที่เล็กลงยังทำให้ระยะรัศมี การกำหนดพื้นที่ควบคุม การปล่อยสารกัมมันตรังสีลดลงด้วย โดยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ อาจมีระยะรัศมีถึง 16 กิโลเมตร ขณะที่ SMR มีระยะรัศมีน้อยกว่า 1 กิโลเมตร”.
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่